กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯได้เผยแพร่อีเมลที่อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ Clinton ส่งและรับผ่านบัญชีอีเมลและ Server ส่วนตัวออกมาอีกมากกว่า 7 พันฉบับ
การใช้บัญชีอีเมลส่วนตัวกับการทำงานรัฐบาลนี้ เป็นเรื่องที่กำลังมีการโต้แย้งกันมากในสหรัฐ ว่าเป็นการกระทำผิดกฎข้อบังคับ หรือแม้กระทั่งผิดกฎหมาย รวมทั้งประเด็นที่ว่าจะกระทบกระเทือนอนาคตทางการเมืองของรัฐมนตรี Clinton หรือไม่ และอย่างไร
ผลการสำรวจทัศนคติล่าสุดของคนอเมริกันเกี่ยวกับผู้สมัครรับเลือกตั้งขั้นต้น เพื่อจะได้เป็นตัวแทนของพรรคในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปลายปีหน้า ชี้ให้เห็นว่าคะแนนนิยมอดีตรัฐมนตรี Hillary Clinton ลดลงมาแล้ว 20% นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม เมื่อเรื่องอีเมลนี้เป็นข่าวขึ้นมา
ในรัฐ Iowa และ New Hampshire ซึ่งจะมีการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งขั้นต้นก่อนรัฐอื่นๆ ต้นปีหน้า วุฒิสมาชิก Bernie Sanders จากรัฐ Vermont ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นและตามหลังรัฐมนตรี Clinton เพียง 7% ใน Iowa และเลยหน้าไปแล้วใน New Hampshire
นักวิเคราะห์บอกว่าคะแนนนิยมรัฐมนตรี Clinton ลดลงทุกครั้งที่มีการเผยแพร่อีเมลออกมาแต่ละชุด และในจำนวนกว่า 7 พันฉบับที่เพิ่งเผยแพร่ออกมานี้ มีราวๆ 150 ฉบับที่ถูกปรับสถานภาพให้เป็นอีเมลลับ บวกกับของเก่าก่อนหน้านี้ 63 ฉบับ
อย่างไรก็ตาม โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ นาย Mark Toner อธิบายว่า อีเมลที่ถูกจัดว่ามีข้อมูลลับในเวลานี้ ไม่ได้ถูกจัดไว้ว่าเป็นอีเมลลับในเวลาที่มีการส่งออกไป และถ้าข้อมูลที่ส่งออกไปในเวลานั้น ไม่ถือว่าเป็นข้อมูลลับ แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไปอาจจะมีการปรับสถานภาพได้ โดยขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้กล่าวข้อความอะไร กับใครและที่ไหน
ทางฝ่ายรัฐมนตรี Clinton ยืนยันว่าไม่ได้ส่งหรือรับข้อมูลลับใดๆ ทางอีเมล และเชื่อว่าทุกคนจะเข้าใจข้อเท็จจริงเมื่อเรื่องราวทั้งหมดเปิดเผยออกมา
อดีตรัฐมนตรี Clinton ได้อนุญาตให้กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯเปิดเผยอีเมลจำนวน 55,000 ฉบับในบัญชีอีเมลส่วนตัวของเธอได้ และได้ให้เหตุผลว่าที่ใช้บัญชีอีเมลส่วนตัวก็เพื่อความสะดวกเป็นใหญ่ และยืนยันว่าได้ทำตามกฎข้อบังคับที่ใช้กันอยู่ในเวลานั้น
แต่นักวิเคราะห์การเมืองอย่าง Stuart Rothenberg บอกกับ VOA ว่า แม้เรื่องจะคลี่คลายออกมาในที่สุดว่า รัฐมนตรี Clinton ไม่ได้ทำอะไรผิดก็จริง แต่การอธิบายเรื่องราวของเธอนั้นไม่ดีพอ
นักวิเคราะห์ผู้นี้ตำหนิว่ารัฐมนตรี Clinton หาเสียงไม่เป็น ดูแข็งทื่อ แม้จะพูดถูกเรื่องและใช้ภาษาเป็น อย่างเช่น ความเสมอภาค ความเป็นธรรม หรือเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำ แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าสิ่งที่เธอพูดออกมานั้น ไม่ “โดนใจ” ผู้ฟัง