ไต้หวันกล่าวในวันพุธว่า เครื่องบินทหารของจีนได้ล่วงล้ำเข้าไปในน่านฟ้าของไต้หวัน 6 ครั้งในหนึ่งสัปดาห์ และ 8 ครั้งแล้วในเดือนนี้
กระทรวงกลาโหมไต้หวันระบุว่า เครื่องบินของจีนได้รุกล้ำเข้ามาในเขตแสดงตนเพื่อการป้องกันทางอากาศของไต้หวันเมื่อต้นเดือนนี้ และเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เครื่องบินทิ้งระเบิด H-6 และเครื่องบินไอพ่น เฉิงตู J-10 ของกองทัพจีนก็บินเข้ามาในเขตน่านฟ้าทางตะวันตกเฉียงใต้ของไต้หวันเช่นกัน
ทุกครั้งที่มีการล่วงล้ำ กระทรวงกลาโหมไต้หวันได้ส่งเครื่องบินไปคุ้มกันให้เครื่องบินจีนออกไปจากน่านฟ้า พร้อมกับเตือนประชาชนบนเกาะไต้หวันถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่า บรรดาผู้นำรัฐบาลกรุงปักกิ่งกำลังส่งสัญญาณเตือนไปถึงกรุงวอชิงตันไม่ให้เข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของจีน
เฉพาะในปีนี้ สหรัฐฯ ได้ส่งเรือของกองทัพเรือเดินทางผ่านช่องแคบระหว่างไต้หวันกับจีนแผ่นดินใหญ่แล้ว 6 ครั้ง สร้างความไม่พอใจให้กับปักกิ่งซึ่งพยายามอ้างอำนาจอธิปไตยเหนือไต้หวัน
นอกจากนี้ กองทัพเรือสหรัฐฯ ยังได้เดินเรือผ่านทะเลจีนใต้ไม่ไกลจากไต้หวันอีกหลายครั้งในปีนี้ เพื่อแสดงเสรีภาพในการเดินเรือในบริเวณดังกล่าว
คุณดีเรค กรอสส์แมน นักวิเคราะห์แห่งสถาบันวิจัย RAND Corp. ในสหรัฐฯ กล่าวว่า การกระทำล่าสุดของจีนมิได้มีเป้าหมายเฉพาะแค่ไต้หวัน แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณไปถึงกรุงวอชิงตันว่า สหรัฐฯ ไม่ควรใกล้ชิดสนิทสนมกับไต้หวันมากเกินไปเหมือนที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีมานี้
ตั้งแต่ประธานาธิบดีหญิงของไต้หวัน ไช่ อิง-เหวิน เข้ารับตำแหน่งเมื่อปี ค.ศ. 2016 ความสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับจีนแผ่นดินใหญ่เริ่มห่างเหินมากกว่าเดิม ในขณะที่สหรัฐฯ กลับมีความใกล้ชิดกับรัฐบาลไต้หวันชุดนี้มากขึ้นทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ ภายใต้นโยบายควบคุมการแผ่ขยายอิทธิพลของจีนในแถบเอเชียแปซิฟิก โดยมีไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และฟิลิปปินส์ เป็นพันธมิตรสำคัญ
เวลานี้วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ กำลังพิจารณางบประมาณพิเศษด้านกลาโหมมูลค่า 1,400 ล้านดอลลาร์สำหรับปีนี้ และ 5,500 ล้านดอลลาร์สำหรับปีหน้า ภายใต้โครงการป้องกันมหาสมุทรแปซิฟิก Pacific Deterrence Initiative ซึ่งคาดว่าจะเป็นการเพิ่มแสนยานุภาพทางทะเลของสหรัฐฯ ในแถบแปซิฟิกฝั่งตะวันตกด้วย
ในฝั่งของจีน นักวิเคราะห์ หวง ชุง-ติง แห่งสถาบันป้องกันประเทศและการวิจัยด้านความมั่นคง ในกรุงไทเป กล่าวว่า แรงกดดันภายในประเทศที่มาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ การระบาดของโควิด-19 ตลอดจนการเมืองระหว่างประเทศ ทำให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ต้องพยายามแสดงความเข้มแข็งยิ่งขึ้น ซึ่งสะท้อนออกมาในรูปของการเพิ่มกิจกรรมทางทหารของจีนในแถบเอเชียในขณะนี้