เศรษฐกิจจีนจะแซงหน้าสหรัฐฯ ภายในปี 2030 จากการลงทุนของภาครัฐ การพัฒนาเทคโนโลยี และการบริโภคในประเทศ
บริษัทที่ปรึกษา Center for Economics and Business Research (CEBR) ของอังกฤษคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของจีนจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องและสามารถแซงหน้าสหรัฐฯ ในฐานะระบบเศรษฐกิจซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกภายในปี 2030 โดยอาศัยการลงทุนจากภาครัฐ การเร่งพัฒนาเทคโนโลยี และการใช้จ่ายภายในประเทศแทนการผลิตเพื่อส่งออกเหมือนที่ผ่านมา
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ผู้นำจีนได้พยายามขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการพัฒนาภาคบริการที่สร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นแทนที่จะพึ่งพาการผลิตเพื่อการส่งออกเหมือนที่เคยเป็นในช่วงหลายทศวรรษก่อนหน้านี้ และความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนรวมทั้งการต้องปิดโรงงานจากโควิด-19 ก็ยิ่งเป็นตัวเร่งสำหรับยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจที่ว่านี้ด้วย
รายงานของบริษัท McKinsey & Co. ประจำปี 2021 ระบุว่าการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคภายในประเทศเป็นหัวจักรที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจีนเป็นส่วนใหญ่ในช่วงก่อนปี 2021 และเนื่องจากจีนมีประชากรมากกว่าของสหรัฐฯ ถึง 3.5 เท่าตัว ถึงแม้ว่าผู้บริโภคชาวอเมริกันจะมีกำลังซื้อมากกว่าก็ตาม
นักวิเคราะห์บางคนอย่าง Rajiv Biswas ของบริษัท IHS Markit จึงเชื่อว่าการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญนั้นจะยังดำเนินต่อไป
นอกจากนั้นสำนักข่าวซินหัวยังรายงานเมื่อกลางปีที่แล้วว่า ผู้นำของจีนตั้งเป้าจะสร้างงานในเขตเมืองขึ้นอีกกว่า 11 ล้านตำแหน่งเพื่อขยายตลาดการบริโภคภายในประเทศและการลงทุน รวมทั้งเพื่อผลักดันเศรษฐกิจให้กลับไปคึกคักเท่ากับในระดับก่อนการเกิดโรคระบาดใหญ่ด้วย
ถ้าเทียบในแง่ของผลผลิตทางเศรษฐกิจแล้ว บริษัท IHS Markit ประมาณว่าจีนมีมูลค่า GDP ราว 18 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้วในขณะที่สหรัฐฯ มีผลผลิตทางเศรษฐกิจรวม 23 ล้านล้านดอลลาร์ในปีที่แล้วเช่นกัน
แต่ Denny Roy นักวิจัยอาวุโสของ East-West Center ในนครฮอนโนลูลูบอกว่า จีนมีข้อได้เปรียบในแง่ของเงินทุน การมีอำนาจควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ รวมทั้งการมีเจตจำนงทางการเมืองที่จะใช้เงินงบประมาณจากภาครัฐเพื่อลงทุนในเรื่องที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์แห่งชาติและเป้าหมายในระดับโลก และสถาบันคลังสมองอีกแห่งของสหรัฐฯ คือ Atlantic Council ก็ระบุในรายงานเมื่อเดือนตุลาคมว่า การควบคุมธุรกิจต่างๆ ของจีนนั้นอยู่ในระดับสูงและนโยบายของประธานาธิบดี สี จิ้น ผิงคือการให้ความสำคัญกับบทบาทของรัฐบาลในระบบเศรษฐกิจ โดยนักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าผู้นำของจีนจะมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับเรื่องเทคโนโลยีโดยเฉพาะการพัฒนาฮาร์ดแวร์ซึ่งไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพราะจีนมีทรัพยากรบุคคลที่เป็นวิศวกรอยู่มากมายถึงแม้อาจจะมีความคิดสร้างสรรค์ที่แปลกใหม่ไม่เท่าในประเทศตะวันตก
ทั้งนี้ตามการประเมินของ Douglas McWilliams ผู้ก่อตั้งและรองประธานกรรมการของบริษัทวิจัย CEBR ส่วน Zennon Kapron ผู้อำนวยการบริษัทวิจัย Kapronasia ก็ชี้ว่า หากจีนสามารถพึ่งพาตัวเองด้านเทคโนโลยี ได้จากการช่วยเหลือของภาครัฐแล้วเรื่องนี้ก็จะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญสำหรับเศรษฐกิจของจีนด้วย
แต่ถึงแม้จะเป็นที่คาดกันว่าจีนจะมีระบบเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกโดยแซงหน้าสหรัฐฯ ได้ภายในปี 2030 นั้น คำถามก็คือ เรื่องนี้จะส่งผลอะไรเพราะนักเศรษฐศาสตร์ได้ชี้ว่าการมีฐานะเป็นประเทศซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกไม่ได้สร้างความได้เปรียบเหนือประเทศอื่นเสมอไป และ Douglas McWilliams จากบริษัทวิจัย CEBR ก็ชี้ว่า ไม่ได้มีการมอบรางวัลเหรียญทองคำสำหรับตำแหน่งนี้แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม การมีระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกนั้นย่อมหมายถึงการมีเงินทุนที่จะใช้ได้มากขึ้นเพื่อสร้างอิทธิพลในเรื่องต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น จีนจะสามารถผลักดันแผนงานหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางหรือ Belt and Road Initiative ของตนได้มากขึ้นเพื่อการลงทุนและการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งในทวีปเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา นอกจากนั้นจีนจะยังสามารถใช้ประโยชน์จากเศรษฐกิจของตนในกรณีพิพาทกับประเทศอื่นๆ เช่นในทะเลจีนใต้
Denny Roy ของ East-West Center ชี้ว่า การก้าวขึ้นแซงหน้าสหรัฐในฐานะประเทศซึ่งมีระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกนั้นได้เป็นเป้าหมายอยู่ในนโยบายต่างประเทศของจีนมานานแล้ว โดยจีนต้องการใช้เรื่องดังกล่าวเพื่อลดบทบาทความสำคัญด้านการเป็นผู้นำทั้งในระดับโลกและในระดับภูมิภาคของสหรัฐฯ ลง และจีนก็คาดหวังด้วยว่า จะสามารถกำหนดกฏเกณฑ์และระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศขึ้นใหม่ได้ด้วยตัวเอง