เมื่อปลายเดือนตุลาคม ที่การประชุมสุดยอด ASEAN-China Summit จีนและอาเซียนเเสดงจุดยืนที่จะเดินหน้ากระชับความร่วมมือระหว่างกันอีกระดับหนึ่ง
นักวิเคราะห์กล่าวว่า แนวคิดเรื่องการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอาเซียน ภายใต้ "การเป็นหุ้นส่วนกันเชิงยุทธศาสตร์แบบครอบคลุม" หรือ comprehensive strategic partnership นี้ อาจช่วยลดความขัดแย้งต่อข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ พร้อมทั้งคานอำนาจสหรัฐฯในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปในตัว
เป็นที่ทราบกันว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือเป็นสมรภูมิเชิงยุทธศาสตร์แห่งหนึ่งระหว่างจีนและสหรัฐฯ มาช้านาน
ผู้สันทัดกรณีมองว่าการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอาเซียนจึงสำคัญมาก เพราะจะมีผลต่อการค้า การลงทุน และการให้ความช่วยเหลืออาวุธยุทโธปกรณ์จากจีน
ที่ผ่านมาตลอดระยะเวลา 5 ปี รัฐบาลกรุงวอชิงตันพยายามยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มอาเซียนด้วยการประกาศเตือนจีนถึงการล้ำน่านน้ำ และได้ประสานงานเรื่องอาวุธและฝึกกองกำลังของประเทศอาเซียนให้ป้องกันตนเองได้หลังจากที่จีนอ้างกรรมสิทธิ์และเข้าถึงพื้นที่ทะเลจีนใต้
รัฐบาลจีนขีดเส้นจุดไข่ปลา ที่เรียกว่า “nine-dash line” โดยอ้างอิงเอกสารประวัติศาสตร์การแบ่งเช่นนี้นั้นทำให้จีนอ้างกรรมสิทธิ์ของพื้นที่ทะเลตีนใต้ได้ถึง 90% หรือประมาณ 3 ล้าน 5 แสนกิโลเมตร ซึ่งพื้นที่เหล่านี้เป็นทั้งแหล่งประมงสำคัญ เส้นทางการเดินเรือสินค้า และเป็นแหล่งน้ำมันสำรองในมหาสมุทรด้วย
หลายปีผ่านมา ยังได้เกิดความขัดแย้งระหว่างจีนกับบางประเทศในกลุ่มอาเซียนมากขึ้น จากการที่จีนถมทะเลเพื่อขยายพื้นที่เกาะเเก่งในทะเลจีนใต้
นักวิเคราะห์บางรายชี้ว่าแม้ประเทศในเขตทะเลจีนใต้จะยินดีกับการช่วยเหลือของสหรัฐฯ แต่โดยรวมแล้ว สหรัฐฯตามหลังจีนในเรื่องการส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศรายได้ต่ำในภูมิภาคดังกล่าว
อาจารย์ อลัน ชอง แห่งมหาวิทยาลัย Rajaratnam School of International Studies ของสิงคโปร์บอกกับวีโอเอว่า สหรัฐฯควรจะกังวลกับสถานการณ์ในขณะนี้ เพราะการส่งยุทโธปกรณ์ล้ำสมัยไปช่วยกลุ่มอาเซียนไม่ได้ช่วยให้สหรัฐฯกลับมาแข่งขันจีนได้มากนัก
ผู้เชี่ยวชาญจาก Wuhan University ของจีน and Coastal Carolina University ของสหรัฐฯ ได้ระบุในวิจัยว่า ยุทธศาสตร์การสานสัมพันธ์ถือเป็นหัวใจของนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลจีน ซึ่งจีนก็ทำได้แล้วกับ 78 ประเทศทั่วโลกนับจนถึงปี 2019
หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์แบบครอบคลุมถือเป็นการสานสัมพันธ์ในระดับที่เกือบเทียบเท่าการทำสนธิสัญญา ซึ่งชี้ถึงการร่วมมือระหว่างสองฝ่ายที่จะมีความจริงจังมากขึ้น โดยจีนกับอาเซียนล้วนมีมุมมองและให้ความสำคัญถึงเรื่องการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สอดคล้องกัน
ยกตัวอย่างเช่นกรณีของประเทศเวียดนามซึ่งมีความขัดแย้งเรื่องพื้นที่ในทะเลจีนใต้กับจีนอย่างชัดเจน แต่ก็ยังต้องการนักท่องเที่ยวและนักลงทุนจีนเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจ
นอกจากนี้แล้ว ประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียน เช่น ลาว อินโดนิเซีย สิงคโปร์และเวียดนาม ต่างได้รับเงินพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานจากจีน
ทั้งนี้ การเพิ่มการลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกิดขึ้นหลังจากที่จีนแพ้คดีที่ศาลโลกเรื่องการอ้างข้อกฎหมายต่อกรรมสิทธิ์ในพื้นที่ทะเลจีนใต้
หวง เคว่ยโบ อาจารย์ด้านความสัมพันธ์ด้านการทูตแห่ง National Chengchi University ในไต้หวันจึงคาดว่าการยกระดับความสัมพันธ์แบบ "หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์แบบครอบคลุม” ที่ได้รับการประกาศในวัน 28 ตุลาคม ว่าอาเซียนมีความตั้งใจที่จะเดินหน้าเรื่องนี้กับจีนนั้นจะเป็นการให้ความสำคัญกับการร่วมมือกันเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจจากการระบาดของโควิด เป็นเรื่องหลัก
ส่วนผู้เชี่ยวชาญด้านการเดินเรือนานาชาติ เจย์ บาตองบากัล แห่ง University of the Philippines ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้สหรัฐฯจะพยายามคานอำนาจีนด้วยการแบ่งปันข้อมูลทางทหารกับสหราชอาณาจักรและออสเตรเลียภายใต้กรอบความตกลง AUKUS ในเดือนกันยายน แต่จีนได้มองว่าตนนั้นมีความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียมากขึ้น หากพิจารณาถึงการยกระดับความสัมพันธ์กับอาเซียนที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้