ตามคำจำกัดความที่ผู้ทำดัชนีให้ไว้ ‘Soft Power’ คือความสามารถในการปลอบประโลมและโน้มน้าว หรือจะเรียกว่า ‘อำนาจนุ่ม’ ก็ได้ และแม้อังกฤษจะไม่มีจักรภพให้ปกครองอีกต่อไปแล้ว แต่ก็ยังมี ‘อำนาจนุ่ม’ แผ่ไปทั่วโลก
การสำรวจแยกประเด็นต่างๆ ไว้สำหรับการวัด รวมทั้งเรื่องการติดต่อผูกพันกับประเทศอื่นๆ ในโลก ผลของการวัดในประเด็นนี้ระบุว่าอังกฤษเป็นประเทศที่มีการติดต่อผูกพันกับประเทศต่างๆ มากกว่าใครเพื่อน เพราะคนอังกฤษสามารถเดินทางโดยไม่ต้องมีวีซ่าไปยังประเทศอื่นๆ ได้มากถึง 174 ประเทศ ซึ่งนับว่ามากกว่าประเทศใดๆ ทั้งหมด
อำนาจนุ่มอีกด้านหนึ่งของอังกฤษที่เห็นได้ชัด คือวัฒนธรรม ศิลปินของอังกฤษผลิตอัลบั้มเพลงติดอันดับระหว่างประเทศมากกว่านักร้องของประเทศอื่นๆ ในเรื่องการกีฬา เชื่อว่าผู้คนทั่วโลกรู้จักทีมฟุตบอลและนักเตะลูกหนังของอังกฤษมากกว่าของประเทศตนเองเสียอีก
ในด้านการศึกษา อังกฤษเป็นรองเฉพาะสหรัฐเท่านั้น
แต่ที่อังกฤษอ่อนคือสมรรถนะในการประกอบการ ทั้งนี้เพราะอังกฤษใช้จ่ายในด้านการวิจัยและการพัฒนาเพียง 1.7% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือ GDP ในขณะที่เกาหลีใต้ ซึ่งติดอันดับที่หนึ่งในด้านนี้ ใช้เงินสำหรับการวิจัยและการพัฒนามากถึง 4% ของ GDP
อีกเรื่องหนึ่งที่อังกฤษอ่อนด้อยกว่าผู้อื่น คือเรื่องช่องว่างทางเพศของอังกฤษที่กว้างกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ ตามมาตรวัดของสหประชาชาติ ซึ่งทำให้คุณภาพทางด้านธรรมาภิบาลไม่โดดเด่น ในประเด็นนี้จีนติดอันดับสุดท้าย
แต่เมื่อดูภาพรวมแล้ว นิตยสาร The Economist บอกว่า การติดอันดับที่หนึ่งในดัชนี ‘Soft Power’ น่าจะทำให้รัฐบาลอังกฤษพออกพอใจได้บ้างไม่มากก็น้อย เพราะในอีกหนึ่งหรือสองปีข้างหน้า อังกฤษจะต้องเตรียมตัวเผขิญหน้ากับปัญหายากๆ เช่นการลงคะแนนเสียงแสดงประชามติว่าจะอยู่ในสหภาพยุโรป หรือ EU ต่อไปหรือไม่ การลดการกระจายเสียงของบริการวิทยุและโทรทัศน์ BBC และการจำกัดคนเข้าเมืองซึ่งทำให้นักศึกษาชาวต่างชาติลดความสนใจที่จะไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยในอังกฤษ