อาการบาดเจ็บจากการถูกทุบตีด้วยของเเข็ง บาดเเผลจากการถูกแทง ถูกยิงหรือจากเหตุระเบิดในระหว่างการสู้รบ ล้วนเป็นสาเหตุให้เกิดอาการเลือดออกภายในร่างกายที่อาจจะทำให้เสียชีวิตได้
คุณ Erin Lavik นักวิจัยที่มหาวิทยาลัย University of Maryland ที่เมือง Baltimore กล่าวว่า อาการนี้เรียกว่าอาการเลือดออกและคั่งภายในร่างกาย ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว
คุณ Lavik กล่าวว่า สิ่งที่เป็นอันตรายมากจากอาการเลือดออกภายในร่างกาย คือเป็นอาการที่มองไม่เห็น เลือดอาจจะออกมากแต่ยังไม่มีปรากฏอาการอะไรให้เห็น
แต่เมื่อเลือดออกภายในร่างกายมากจนถึงระดับหนึ่ง คุณก็จะเสียชีวิตได้ทันที
ในปัจจุบัน การผ่าตัดเป็นวิธีที่ใช้กันมากที่สุดเพื่อรักษาอาการเลือดออกภายในร่างกาย แต่มีทีมนักวิจัยหลายทีมรวมทั้งทีมนักวิจัยที่คุณ Lavik ร่วมงาน กำลังพยายามพัฒนาตัวนำยาที่ใช้ในการทำให้เลือดเเข็งตัวเร็วขึ้นเพื่อหยุดเลือด
คุณ Lavik และทีมงานวิจัย กำลังทดลองอนุภาคนาโนที่ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมเข้ากับเกล็ดเลือด (platelets) ที่จะเข้าไปยังจุดบาดเจ็บและทำให้เลือดหยุด อนุภาคนาโนขนาดเล็กจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นเหล่านี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตัวโปรตีนชนิดหนึ่ง จะถูกฉีดเข้าสู่ร่างกายผ่านทางกระเเสเลือด และเข้าไปยึดกับตัวเกล็ดเลือดซึ่งจะเร่งให้เกล็ดเลือดทำงานรวดเร็วขึ้นกว่าเดิม เพื่อช่วยให้เลือดหยุดไหล
เมื่อเลือดหยุดไหล ตัวอนุภาคนาโนจะสลายหายไปจากร่างกายเองอย่างรวดเร็ว
ทีมนักวิจัยได้ทดลองอนุภาคนาโนที่ช่วยหยุดเลือดนี้ในหนูทดลอง ซึ่งได้ผลการทดลองที่น่าพอใจ เพราะสามารถช่วยหยุดเลือดที่ออกในร่างกายของหนูทดลองได้ ก่อนที่อาการจะเข้าขั้นเป็นอันตรายถึงชีวิต
ทีมนักวิจัยทีมนี้กำลังพยายามพัฒนาอนุภาคนาโนที่ช่วยหยุดเลือดที่ออกในสมอง และจากอาการบาดเจ็บในกระดูกสันหลัง
คุณ Lavik กล่าวกับผู้สื่อข่าววีโอเอว่า อาการบาดเจ็บรุนแรงในสมองจากเหตุวางระเบิดในสถานการณ์สู้รบ มักเป็นเหตุให้ทหารเสียชีวิต คุณ Lavik กล่าวว่า ทีมงานกำลังหาทางพัฒนาอนุภาคนาโนเพื่อบำบัดอาการเลือดออกในสมองที่เกิดจากอาการบาดเจ็บในเหตุระเบิดเหล่านี้
คุณ Lavik ได้นำเสนอผลงานการคิดค้นอนุภาคนาโนช่วยหยุดเลือดออกภายในร่างกายนี้ในระหว่างการประชุมประจำปีของสมาคม American Chemical Society เมื่อเร็วๆ นี้ เธอกล่าวว่า น่าจะใช้เวลาอีกนาน 5 – 10 ปี กว่าผลิตภัณฑ์นี้จะพร้อมนำออกไปใช้ในการบำบัดทหารและผู้ได้รับบาดเจ็บในพื้นที่สงครามได้
(รายงานโดย Jessica Berman / เรียบเรียงโดยทักษิณา ข่ายแก้ว)
