เมื่อวันพุธ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เรียกร้องให้บริษัทกลั่นน้ำมันในสหรัฐฯ ผลิตน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลมากขึ้น โดยระบุว่า กำไรของบริษัทเหล่านี้เพิ่มขึ้นสามเท่าในช่วงที่เกิดสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ขณะที่ชาวอเมริกันต้องแบกรับราคาที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ตามรายงานของเอพี
ผู้นำสหรัฐฯ เขียนในจดหมายถึงบริษัทกลั่นน้ำมันเจ็ดแห่งว่า “ควรมีการรับมือโดยทันทีต่อสถานการณ์ที่ครอบครัวต่าง ๆ เผชิญอยู่ในขณะนี้ บริษัทของพวกคุณจะต้องทำงานร่วมกับรัฐบาล เพื่อให้มีทางออกที่เป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อวิกฤตครั้งนี้”
ปธน. ไบเดน ส่งจดหมายถึงบริษัทมาราธอน ปีโตรเลียม, วาเลโร เอเนอร์จี, เอ็กซอนโมบิล, ฟิลลิปส์ 66, เชฟรอน, บีพี และเชลล์
ราคาน้ำมันทั่วสหรัฐฯ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ราวห้าดอลลาร์ต่อแกลลอน ซึ่งเป็นภาระต่อชาวอเมริกันจำนวนมาก และเป็นภัยทางการเมืองต่อพรรคเดโมแครตที่กำลังเข้าสู่การเลือกตั้งกลางเทอม
ภาวะเงินเฟ้อทำให้ราคาสินค้าต่าง ๆ เริ่มสูงขึ้นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวจากการระบาดของโรคโควิด-19 ภาวะเงินเฟ้อเร่งตัวมากขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาจากราคาพลังงานและอาหารที่สูงขึ้น หลังรัสเซียรุกรานยูเครนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกติดขัด
เมื่อวันศุกร์ รัฐบาลสหรัฐฯ รายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 8.6% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเป็นอัตราที่สูงขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 40 ปี
จดหมายจาก ปธน. ไบเดนระบุว่า เมื่อเดือนมีนาคม ราคาน้ำมันอยู่ที่ราว 4.25 ดอลลาร์ต่อแกลลอนในขณะที่ราคาน้ำมันอยู่ใกล้ระดับราคาปัจจุบันที่ 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แสดงให้เห็นว่าราคาน้ำมันที่สูงขึ้น 75 เซนต์ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือน สะท้อนให้เห็นถึงกำลังกลั่นน้ำมันที่ลดลง และกำไรที่ “สูงที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมา”
ผู้นำสหรัฐฯ มองว่า โรงกลั่นน้ำมันตักตวงผลประโยชน์จากความไม่แน่นอนของสงคราม โดยข้อความของ ปธน. ไบเดน ที่ระบุว่า ความโลภของบริษัทต่าง ๆ ทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น เป็นที่ถกเถียงในกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ แต่ก็อาจเป็นความเห็นในทางเดียวกันกับผู้ลงคะแนนเสียงให้เขา
สมาชิกสภาสหรัฐฯ สายเสรีนิยมบางส่วนเสนอให้มีการออกนโยบายจำกัดกำไรของบริษัทในช่วงที่เงินเฟ้อสูงขึ้น เมื่อเดือนมีนาคม เบอร์นีย์ แซนเดอร์ วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ สังกัดอิสระ เสนอให้มีการเก็บภาษี 95% ของกำไรบริษัทที่ได้เพิ่มมาเมื่อเทียบกับรายได้เฉลี่ยของบริษัทเหล่านี้ในช่วงก่อนการระบาดของโรคโควิด-19
ผู้นำสหรัฐฯ วิจารณ์การทำกำไรในช่วงวิกฤตโลกที่อาจทำให้ยุโรปและภูมิภาคอื่น ๆ เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยเมื่อวันศุกร์ เขากล่าวว่า เอ็กซอนโมบิล บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ “ทำเงินได้มากกว่าพระเจ้าในปีนี้” โดยทางเอ็กซอนโมบิลตอบกลับว่า ทางบริษัทได้แจ้งทางรัฐบาลถึงแผนการลงทุนเพื่อเพิ่มการผลิตน้ำมันและกำลังการกลั่นน้ำมันไปแล้ว
จดหมายของผู้นำสหรัฐฯ ยังกล่าวต่อด้วยว่า ขณะที่ ปธน. วลาดิเมียร์ ปูติน ต้องมีส่วนรับผิดชอบหลักต่อผลกระทบทางการเงินต่อชาวอเมริกัน แต่ท่ามกลางสงครามที่ทำให้ราคาน้ำมันเบนซินพุ่งสูงกว่า 1.70 ดอลลาร์ต่อแกลลอนนี้ ส่วนต่างของกำไรจากการกลั่นน้ำมันที่สูงเป็นประวัติศาสตร์ทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลง
จดหมายระบุต่อไปว่า รัฐบาลสหรัฐฯ พร้อมใช้เครื่องมือที่เหมาะสมและอำนาจฉุกเฉินเพื่อเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมันในอนาคตอันใกล้ และเพื่อให้มั่นใจว่า จะมีน้ำมันส่งอย่างทั่วถึงทั่วประเทศ โดย ปธน. ไบเดนได้เริ่มปล่อยน้ำมันสำรองและเพิ่มมาตรฐานการผสมเอทานอลในน้ำมัน แม้มาตรการทั้งสองจะยังไม่ส่งผลต่อราคาน้ำมันเท่าใดก็ตาม
ผู้นำสหรัฐฯ ยังสั่งการให้ เจนนิเฟอร์ แกรนโฮล์ม รัฐมนตรีพลังงานสหรัฐฯ จัดการประชุมพลังงานและปรึกษาสภาปิโตรเลียมแห่งชาติ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ปรึกษาพลังงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ
ปธน. ไบเดน ขอให้บริษัทแต่ละแห่งอธิบายต่อแกรนโฮล์มถึงกำลังการกลั่นน้ำมันตั้งแต่ปี 2020 ว่า มีช่วงไหนที่กำลังการผลิตลดลงบ้าง เขายังต้องการให้บริษัทต่างๆ เสนอ “แนวคิดอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อรับมือปัญหาน้ำมันในคลัง ราคาน้ำมัน และกำลังการกลั่นน้ำมันในอีกไม่กี่เดือนต่อจากนี้ รวมทั้งมาตรการการขนส่งเพื่อนำน้ำมันเข้าสู่ท้องตลาด”
ทั้งนี้ การเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมันก็อาจมีขีดจำกัดเช่นกัน โดยเมื่อวันศุกร์ หน่วยงาน U.S. Energy Information Administration เผยแพร่การคาดการณ์ว่า การกลั่นน้ำมันจะเพิ่มถึง 96% ต่อเดือนถึงสองครั้งในฤดูร้อนนี้ ซึ่งเกือบถึงเพดานที่บริษัทกลั่นน้ำมันจะสามารถรักษากำลังการกลั่นน้ำมันไว้ได้
จดหมายดังกล่าวระบุว่า มีการลดกำลังการกลั่นน้ำมันทั่วโลกราว 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน นับตั้งแต่มีการระบาดของโรคโควิด-19 โดยในสหรัฐฯ กำลังการกลั่นน้ำมันลดลงกว่า 800,000 บาร์เรลต่อวันเมื่อปีค.ศ. 2020
- ที่มา: เอพี