ประธานาธิบดี โจ ไบเดน เตือนว่า รัสเซียอาจทำการโจมตีทางไซเบอร์ต่อสหรัฐฯ หรือใช้อาวุธชีวภาพหรืออาวุธเคมีในการเดินหน้าทำสงครามในยูเครนซึ่งดำเนินมาเกือบ 1 เดือนแล้ว
ผู้นำสหรัฐฯ บอกกับกลุ่มตัวแทนผู้บริหารภาคเอกชนอเมริกันในช่วงค่ำของวันจันทร์ว่า ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ไม่ได้คาดมาก่อนว่า ตนจะต้องเผชิญกับความสามัคคีจากทั่วโลกในการต่อต้านแผนการรุกรานยูเครน และในเวลานี้ ผู้นำรัสเซีย “กำลังหลังชนฝาแล้ว”
ปธน.ไบเดน กล่าวด้วยว่า ปธน.ปูติน ยังคงพยายามชูประเด็นการเหตุและสร้างข่าวเพื่อเป็นเหตุผลในการโจมตีต่อไป ซึ่งรวมถึง การกล่าวหาว่า สหรัฐฯ มีอาวุธชีวภาพและอาวุธเคมีอยู่ในยุโรป อันไม่เป็นความจริงเลย รวมทั้ง การที่อ้างว่า ยูเครนมีอาวุธแบบดังกล่าวไว้ในประเทศด้วย โดยทั้งสองประเด็นนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้นำรัสเซียกำลังพิจารณาจะใช้อาวุธทั้งสองแบบอยู่
นอกจากนั้น ปธน.ไบเดน ยังอ้างถึงรายงาน “ข่าวกรองที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา” ที่ระบุว่า รัฐบาลรัสเซียกำลัง “มองหาทางเลือกในการทำการโจมตีทางไซเบอร์” ต่อสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้การดำเนินมาตรการลงโทษ โดยผู้นำสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้ภาคเอกชนยกระดับ “การป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์” ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น “โดยด่วน”
อย่างไรก็ตาม รัสเซียออกมาบอกปัดคำเตือนของปธน.ไบเดนในวันอังคารทันที โดย ดมิทรี เพสคอฟ โฆษกเครมลิน บอกกับผู้สื่อข่าวว่า รัสเซีย “ไม่เคยทำการอาชญากรรมในระดับรัฐ” เลย
ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ผู้นำสหรัฐฯ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และอังกฤษ ร่วมการประชุมออนไลน์เพื่อหารือความกังวลเกี่ยวกับวิธีการโจมตีอันโหดร้ายในยูเครน พร้อมยืนยันการสนับสนุนของตนต่อยูเครน ด้วยการให้การช่วยเหลือด้านความมั่นคงและมนุษยธรรม รวมทั้ง ทำการทบทวนความพยายามทางการทูตเมื่อเร็วๆ นี้เพื่อหนุนให้ยูเครนเร่งบรรลุข้อตกลงหยุดยิงด้วย
ทั้งนี้ โฆษกเครมลินกล่าวในวันอังคารว่า รัสเซียต้องการจะเห็นการหารือที่ “มีความกระตือรือร้นและมีแก่นสาร” กับยูเครนด้วย
และในวันจันทร์ จอห์น เคอร์บี้ โฆษกเพนตากอน ตอบคำถามของผู้สื่อข่าว วีโอเอ เกี่ยวกับการก่ออาชญากรรมของรัสเซียในยูเครน โดยระบุว่า สหรัฐฯ ได้เห็นหลักฐานอันชัดเจนเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวแล้ว และกำลังมีการรวบรวมหลักฐานต่างๆ อยู่
เคอร์บี้ ยังกล่าวหากองทัพรัสเซียว่า ทำการ “โจมตีพลเรือนโดยไม่เลือกหน้า” และ “อย่างตั้งใจ” อยู่หลายครั้ง
ในส่วนของวิกฤตมนุษยธรรมในยูเครนนั้น องค์การสหประชาชาติเปิดเผยในวันอังคารว่า ผู้อพยพลี้ภัยที่เดินทางหนีอันตรายออกจากยูเครนไปแล้วกว่า 3.5 ล้านคน หลังรัสเซียทำการสงครามรุกรานประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้ โดยกว่า 2.1 ล้านคนได้ลี้ภัยไปโปแลนด์ และประมาณ 543,000 คนอพยพไปโรมาเนีย ขณะที่ ราว 368,000 คนเลือกหนีไปมอลโดวา และอีก 318,000 คนลี้ภัยไปฮังการี
- ข้อมูลบางส่วนมาจาก เอพี เอเอฟพี และรอยเตอร์