บริษัท แอปเปิล บรรลุข้อตกลงที่จะจ่ายเงินชดเชยจำนวน 113 ล้านดอลลาร์ ให้กับทางการของ 34 รัฐและกรุงวอชิงตัน เพื่อยุติข้อกล่าวหาที่ว่า บริษัทเทคโนโลยีชื่อดังแห่งนี้ทำให้ผู้ใช้งานโทรศัพท์ iPhone เข้าใจผิดเกี่ยวกับการอัพเดทซอฟต์แวร์ของเครื่อง ที่ส่งผลให้อุปกรณ์ดังกล่าวทำงานช้าลง
เว็บไซต์ MSN รายงานโดยอ้างข้อมูลจาก ฮาร์เวียร์ บีเซร์รา อัยการรัฐแคลิฟอร์เนีย ว่า ข้อหาที่ทางการรัฐทั้งหลายและกรุงวอชิงตันร่วมกันฟ้อง บริษัท แอปเปิล นั้นเกี่ยวกับการที่บริษัทแห่งนี้ปิดบังข้อมูลด้านอายุแบตเตอรี่ของตัวเครื่องที่ทำให้การทำงานของ iPhone ช้า ด้วยการแจ้งผู้ใช้งานว่าเป็นเรื่องของการอัพเดทข้อมูลเครื่อง โดยพฤติกรรมดังกล่าวมีผลกระทบต่อการตัดสินใจใช้จ่ายของผู้บริโภค
ในข้อมูลส่งฟ้องนี้ อัยการระบุว่า แอปเปิล ใช้แบตเตอรี่รุ่นที่มีโอกาสเสื่อมได้ง่ายเมื่อใช้งานไประยะหนึ่ง ในการผลิต iPhone 6 และ iPhone 7 ขณะที่ อุปกรณ์โทรศัพท์ยอดนิยมนี้ ได้รับการออกแบบให้ปิดการใช้งานทันทีที่พลังงานแบตเตอรี่มีไม่เพียงพอให้ทำการประมวลผล โดยทั้งหมดนี้ทำให้โทรศัพท์รุ่นดังกล่าวเกิดอาการเครื่องดับบ่อยครั้งมากกว่าปกติ
นอกจากนั้น ข้อมูลส่งฟ้องยังชี้ว่า แอปเปิล เลือกแก้ปัญหาด้วยการส่งซอฟต์แวร์ใหม่ๆ ให้ผู้ใช้งานทำการอัพเดท และระบุว่า การกระทำดังกล่าวจะช่วยปรับปรุงระบบจัดการพลังงานของอุปกรณ์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตัวโทรศัพท์กลับต้องทำงานหนัก และมีปัญหาอื่นๆ ตามมา เช่น การใช้เวลานานขึ้นในการเปิดแอปพลิเคชั่น การลดลงของความสว่างของหน้าจอ และเสียงที่เบาลง เป็นต้น โดยบริษัทยังไม่ยอมเปิดเผยความจริงต่อสาธารณะ จนกระทั่ง สื่อมีรายงานปัญหาทั้งหมดนี้ออกมาในช่วงปลายเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 2017
นอกจากการจ่ายเงินชดเชยจำนวนที่รายงานออกมาแล้ว แอปเปิล ตกลงที่จะนำเสนอ “ข้อมูลที่กระจ่างแจ้งและชัดเจน” ให้คำอธิบายเกี่ยวกับประเด็นการทำงานของแบตเตอรี่ทั้งหมด และรีบทำการแจ้งข้อมูลที่จะส่งผลการทำงานของตัวเครื่อง บนเว็บไซต์ของบริษัท อันเป็นหนึ่งในเงื่อนไขของการเจรจายุติการฟ้องร้องนี้
ทั้งนี้ อัยการ บีเซร์รา ระบุในแถลงการณ์ด้วยว่า ก่อนหน้านี้ แอปเปิล ได้ทำการจ่ายเงินชดเชยการฟ้องร้องในนามกลุ่มบุคคลที่สำนักงานอัยการรัฐแคลิฟอร์เนียยื่นไป เป็นจำนวนเงิน 500 ล้านดอลลาร์เรียบร้อยแล้ว แต่โฆษกของ แอปเปิล ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นเงินชดเชยเพื่อยุติคดีความต่างๆ