แม้ชาวอเมริกันจะฉีดวัคซีนป้องกันโควิดไปกว่าครึ่งประเทศ ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดโดยเฉลี่ยในสหรัฐฯในได้พุ่งขึ้นราว 70,000 คนต่อวันในขณะนี้ ยอดดังกล่าวนั้นสูงกว่าช่วงฤดูร้อนเมื่อปีที่ผ่านมาซึ่งตอนนั้นถือเป็นจุดวิกฤตที่สุดของการระบาดระลอกแรก และผู้คนส่วนใหญ่เองก็ยังไม่รับวัคซีนป้องกันโควิดในช่วงนั้นอีกด้วย
บทวิเคราะห์ล่าสุดจากสำนักข่าวเอพีชี้ว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน ต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์ในการรับมือการระบาดของโคโรนาไวรัสหลังผลกระทบของโควิดสายพันธุ์เดลตาชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งนี้ ผู้นำสหรัฐฯได้ตั้งเป้าเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมว่า ชาวอเมริกันวัยผู้ใหญ่กว่า 70% จะต้องได้รับวัคซีนป้องกันโควิดโดสแรกภายในวันชาติอเมริกาที่ 4 กรกฏาคม เมื่อมององค์ประกอบต่างๆในช่วงเวลานั้น เป้าหมายที่ตั้งไว้ก็ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จได้ไม่ยากนัก เนื่องจากสหรัฐฯแจกจ่ายวัคซีนประมาณ 965,000 โดสต่อวัน
นอกจากนี้ สหรัฐฯยังมีวัคซีนเหลือเยอะ เพียงพอที่จะส่งมอบไปให้ยังประเทศต่างๆรวมทั้งสิ้นราว 110 ล้านโดส ซึ่งประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ถึง 1.5 ล้านโดสเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม โควิดสายพันธุ์เดลตามีความรุนแรงในการแพร่ระบาดมากกว่าสายพันธุ์อื่นๆ และคนอเมริกันเกือบ 90 ล้านคนก็เลือกที่จะไม่ฉีดวัคซีน ท่ามกลางข้อมูลข่าวสารที่ไม่เป็นความจริง จนทำให้เกิดความเคลือบแคลงใจถึงประสิทธิภาพในการช่วยป้องกันโคโรนาไวรัส สภาวะดังกล่าวจึงส่งผลให้ประธานาธิบดีไบเดนเพิ่งบรรลุเป้าหมายฉีดวัคซีนต้านโควิดให้ประชาชนวัยผู้ใหญ่ 70% ที่ตั้งไว้ในสัปดาห์นี้ ซึ่งก็ล่าช้าไปว่ากำหนดการถึงเดือนกว่าๆ
นอกจากนี้ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบาดของสหรัฐฯ หรือ ซีดีซี ยังถูกวิจารณ์อย่างหนักจากหลายภาคส่วน เนื่องจากมีการปรับมาตราการสวมหน้ากากอนามัยหลายครั้ง โดยเมื่อเดือนพฤษภาคม ซีดีซี ผ่อนปรนมาตรการการใส่หน้ากากอนามัย อนุญาตให้คนที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้วสามารถถอดหน้ากากในที่สาธารณะได้ ส่วนคนที่เลือกที่จะไม่ฉีดหรือยังไม่ได้รับวัคซีนก็ต้องใส่หน้ากากอนามัยต่อไป
แต่มาตรการข้างต้นนั้นไม่ได้มีการตรวจสอบอย่างเคร่งครัด บรรยากาศที่คึกคักในประเทศจากผู้คนที่ดีใจและคิดไปว่าชีวิตแบบปกติจะกลับมาแล้วก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว บุคลากรทางการแพทย์หลายคนออกมาเรียกร้องและเตือนให้ประชาชนอย่าเพิ่งลดระดับการระวังตัว
ดร. ลีนา เว็น อดีตผู้อำนวยการใหญ่ด้านสาธารณสุขในเมืองบัลติมอร์ของรัฐแมรีแลนด์ในสหรัฐฯ บอกกับสำนักข่าวเอพีว่า ข้อผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของรัฐบาลชุดไบเดนในการคุมการระบาด คือ การผ่อนมาตรการการใส่หน้ากากอนามัย เนื่องจากการตัดสินใจดังกล่าวก่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่าการระบาดของโควิด-19 ได้จบลงแล้ว ซ้ำยังเปิดโอกาสให้คนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนปฏิบัติตนเหมือนกับคนที่ได้รับวัคซีนแล้ว จึงก่อให้เกิดการระบาดระลอกใหม่ที่มาพร้อมกับโควิดสายพันธุ์เดลตา
ส่วนทางด้านผู้อำนวยการซีดีซี ดร. โรเชลล์ วาเลนสกี ได้ออกมายืนยันถึงความรุนแรงของสถานการณ์การระบาดระลอกใหม่และอธิบายว่า คนที่ติดโควิดสายพันธ์ุเดลต้า สามารถกระจายเชื้อโควิดให้แก่คนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนได้ถึง 5 คน ซึ่งมากกว่าสายพันธุ์โควิดชนิดแรกถึงกว่าสองเท่า
ซีดีซีจึงออกนโยบายเพิ่มเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าคนที่ฉีดวัคซีนแล้ว ควรจะใส่หน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในพื้นที่เสี่ยง โดยเจ้าหน้าที่ได้ยกตัวอย่างกรณีการระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลตาในหมู่คนที่ได้รับวัคซีนในเมือง Provincetown ที่รัฐแมสซาชูเซตส์ขึ้นมา ซึ่งจะเห็นได้ว่าคนที่รับวัคซีนที่ติดโควิดจำนวนมากไม่ป่วยจนถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล แต่เมื่อคนเหล่านี้หายจากการโควิดแล้ว พวกเขาสามารถแพร่ไวรัสได้มากพอๆกับคนที่ไม่ได้รับวัคซีนเลย
ทั้งนี้ ผู้ว่าการรัฐฟลอริดาและเท็กซัสนั้นได้ออกแสดงความไม่พอใจต่อกฎการใส่หน้ากากอนามัยครั้งล่าสุด แม้ว่ารัฐทั้งสองแห่งจะมียอดผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ตาม
บทวิเคราะห์จากสำนักข่าวเอพีได้ทิ้งท้ายว่า หลังจากประธานาธิบดีไบเดนได้ประกาศชัยชนะจากโควิดเมื่อวันชาติอเมริกาเมื่อเดือนที่แล้ว รัฐบาลก็เบี่ยงไปให้ความสนใจนกับนโยบายอื่นๆภายในประเทศแทน โดยเฉพาะเรื่องการงบประมาณระบบโครงสร้างพื้นฐาน