สหประชาชาติ หรือยูเอ็นแสดงความกังวลต่อความภัยคุกคามต่อเสรีภาพจากกฎหมายอาชญากรรมล่าสุดของอินโดนีเซีย ตามรายงานของรอยเตอร์
ยูเอ็นเตือนด้วยว่า สิ่งที่เกิดขึ้นอาจนำไปสู่การเสื่อมถอยของเสรีภาพสื่อ ความเป็นส่วนตัว และสิทธิมนุษยชน ในอินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศประชาธิปไตยที่มีขนาดใหญ่อันดับสามของโลก
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมารัฐสภาอินโดนีเซียผ่านกฎหมายใหม่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามหลายสิบปีที่ทางการต้องการรื้อกฎหมายที่มีมาตั้งแต่ยุคอาณานิคม
ผลของการปรับแก้ ทำให้เกิดกฎหมายอาญาที่เอาผิดต่อการดูหมิ่นประธานาธิบดี รวมถึงต่อธงชาติและสถาบันต่าง ๆ ของรัฐได้ด้วย
นอกจากนั้นกฎหมายใหม่ตั้งเงื่อนไขว่า หากผู้ใดต้องการจัดการประท้วง ต้องขออนุญาตล่วงหน้า ทั้งยังห้ามเผยแพร่ข่าวเท็จและมุมมองที่ขัดกับอุดมการณ์ของรัฐ
กฎหมายมาตราอื่น ๆ ที่เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้แก่ การเอาผิดทางอาญาต่อการมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นที่ไม่ใช่คู่สมรส ตลอดจนการอยู่ด้วยกันของคู่รักที่ไม่ได้แต่งงานกัน การส่งเสริมให้เยาวชนใช้ยาคุมกำเนิด และการทำแท้งของสตรีที่ไม่ใช่เหยื่อการข่มขืน
เจ้าหน้าที่อินโดนีเซียเห็นว่า ความเข้มข้นของกฎหมายนี้จะช่วยรักษา “ค่านิยมแบบอินโดนีเซีย”
สำนักงานของสหประชาชาติที่ประเทศอินโดนีเซียกล่าวในแถลงการณ์ว่ายูเอ็นกังวลว่าหลายมาตราในชุดกฎหมายนี้ “ขัดกับพันธะด้านกฎหมายที่อินโดนีเซียมีต่อนานาประเทศอันเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน”
แถลงการณ์ระบุว่า “บางมาตรามีโอกาสที่จะเอาผิดอาญาต่องานของนักข่าว และมาตราอื่นๆ จะกีดกันสิทธิ หรือมีผลในเชิงกีดกันต่อผู้หญิง เด็กหญิงและเด็กชาย รวมถึงคนกลุ่มน้อยด้านอัตลักษณ์ทางเพศ”
ยูเอ็นกังวลด้วยว่ากฎหมายนี้อาจกระทบต่อสิทธิความเป็นส่วนตัว สิทธิเรื่องการตัดสินใจมีบุตร และอาจยิ่งสร้างความย่ำแย่ลงให้กับปัญหาความรุนแรงที่เกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศด้วย
กลุ่มเคลื่อนไหวในภาคประชาสังคมของอินโดนีเซียตำหนิกฎหมายใหม่นี้ โดยชี้ว่าเป็นสิ่งที่ขัดกับประชาธิปไตยและสร้างความเสี่ยงอย่างจำเพาะเจาะจงต่อชาว LGBT
ในการตอบโต้กับกระแสคัดค้าน กระทรวงยุติธรรมอินโดนีเซียกล่าวว่าผู้ที่จะแจ้งการกระทำผิดกฎหมายเรื่องจริยธรรมที่จะยังไม่มีผลจนกว่าสามปีจากนี้ มีไม่กี่กลุ่มเท่านั้น เช่น คู่สมรส พ่อแม่และเยาวชน เป็นต้น
กระทรวงยุติธรรมบอกในแถลงการณ์ด้วยว่า “นักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการนำเงินมาลงทุนหรือมาเที่ยวอินโดนีเซีย เพราะความเป็นส่วนตัวของบุคคลได้รับการการันตีโดยกฎหมายอยู่แล้ว”
- ที่มา: รอยเตอร์