นักวิเคราะห์มองว่า การประชุมสุดยอดผู้นำสหรัฐฯและชาติสมาชิกอาเซียนในสัปดาห์นี้ที่กรุงวอชิงตันจะเปิดทางให้ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มแรงกดดันต่อสหรัฐฯ ในการคานอิทธิพลทางเศรษฐกิจของจีน
การประเมินดังกล่าวเกิดขึ้น ขณะที่หลายประเทศในภูมิภาคต้องการลดการพี่งพาทางการค้าและทางลงทุนจากจีนที่มากเกินไป
แอรอน ราบีน่า นักวิจัยแห่งมูลนิธิ Asia Pacific Pathways to Progress Foundation ที่กรุงมะนิลาของฟิลิปปินส์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาสหรัฐฯ และอาเซียนมีการเน้นย้ำถึงมิติด้านการเมืองและความมั่นคง แต่ยังตามหลังจีนในเรื่องความคิดริเริ่มทางเศรษฐกิจ
เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของสหรัฐฯที่จะพบกับผู้นำอาเซียนมีใครบ้าง?
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะพบกับผู้นำอาเซียนในวันศุกร์เพื่อ “แสดงให้เห็นว่าอาเซียนมีบทบาทหลักในการหาทางออกที่ยั่งยืนต่อสิ่งท้าทายที่เร่งด่วนที่สุดหลายประเด็นในภูมิภาค” ตามถ้อยแถลงของโฆษกทำเนียบขาวเจน ซากิ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ผู้สื่อข่าววีโอเอรายงานว่า ตามกำหนดการ ณ ขณะนี้ ของการประชุมสุดยอดที่จะเกิดขึ้นในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ แคเธอริน ไท และรัฐมนตรีพาณิชย์อเมริกัน จีน่า ไรมอนโด อยู่ในบรรดาตัวแทนระดับสูงของสหรัฐฯ ที่จะพบกับผู้นำอาเซียนเช่นกัน
เจ้าหน้าที่เหล่านี้จะมีส่วนในการเจรจาประเด็นเรื่องการค้าและการแข่งขันทางเศรษฐกิจกับประเทศอาเซียน
ตัวอย่างอิทธิพลทางการค้าของจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีอย่างชัดแจ้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
จีนคือประเทศคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของอาเซียนมาตั้งแต่ค.ศ. 2008 และมูลค่าการค้าระหว่างจีนและอาเซียน ในปี ค.ศ. 2020 สูงถึง 731,900 ล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลของสื่อ Global Times ของทางการจีน
ตัวเลขดังกล่าวแซงหน้า 362,200 ล้านดอลลาร์ ของการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับอาเซียนมากกว่าสองเท่า
อย่างไรก็ตาม หากเป็นเรื่องการลงทุนจากภาคเอกชน สหรัฐฯ เป็นต่อจีน โดยการลงทุนโดยตรงของนักลงทุนอเมริกันในอาเซียนสูงถึง 34,700 ล้านดอลลาร์ เทียบกับ 12,000 ล้านดอลลาร์ ของนักลงทุนจีน
แต่จีนก็ลงทุนผ่านโครงการ Chinese Belt and Road Initiative อีกช่องทางหนึ่ง
ที่น่าสนใจคือจีนมีโครงการ Belt and Road Initiative หรือ “หนึ่งแถบ หนึ่งถนน” มูลค่ากว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งมีประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายแห่งได้รับประโยชน์ เช่น กัมพูชาและมาเลเซีย โดยจีนสร้างยุทธศาสตร์ 9 ปี ภายใต้โครงการนี้ในการก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานพาดผ่านเอเชียและยุโรปเพื่อเปิดประตูการค้า
ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ไม่มีโครงการที่เทียบได้กับ Belt and Road Initiative ของจีน แต่มี โครงการเมื่อสองปีก่อนเรื่องการแก้ปัญหาความแห้งแล้งและการระบาดของโคโรนาไวรัส ใน 5 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง
ชาห์ริมาน ล็อคแมน นักวิเคราะห์แห่ง Institute of Strategic and International Studies ที่มาเลเซียอธิบายว่า การที่จีนสามารถดำเนินการโครงการ “หนึ่งแถบ หนึ่งถนน” ได้อย่างชัดเจนก็เพราะเป็นการผลักดันของรัฐบาลปักกิ่ง
เขากล่าวว่า รัฐบาลจีนมีเครื่องมือทุกอย่างในการสนับสนุน Belt and Road Initiative
ประเทศอาเซียนมาประชุมด้วยความหวังอย่างไรบ้างเกี่ยวกับความสัมพันธ์สหรัฐฯและจีน?
เจยันต์ มีน่อน นักวิจัยอาวุโสแห่ง โครงการศึกษาเศรษฐกิจส่วนภูมิภาคแห่งสถาบัน ISEAS-Yusof Ishak Institute ที่สิงคโปร์ กล่าวว่า ประเทศอาเซียนอยากให้สหรัฐฯ พยายามมากขึ้นในการยุติสงครามการค้ากับจีน ซึ่งกินเวลามานาน 4 ปีแล้ว
เขากล่าวว่า “ผู้นำอาเซียนอาจจะต้องการความมั่นใจว่าจะมีการหาทางออกให้กับสงครามการค้าในภายภาคหน้า”
ในเรื่องนี้ ลิ่ว เผิงหยู โฆษกประจำสถานทูตจีนประจำกรุงวอชิงตัน เร่งเร้าให้สหรัฐฯ แข็งขันมากขึ้น โดยกล่าวว่า “จีนหวังให้อเมริกาเลิกความคิดแบบสงครามเย็น เมื่อมีส่วนในความร่วมมือกับประเทศในเอเชียตะวันออก” เพื่อให้เกิดสันติภาพ การพัฒนาและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคนี้
คาดกันว่าจะเกิดการบรรลุข้อตกลงกันด้านใดบ้างจากการประชุมครั้งนี้?
แอรอน ราบีน่า นักวิจัยแห่งมูลนิธิ Asia Pacific Pathways to Progress Foundation กล่าวว่า แม้การประชุมสุดยอดในสัปดาห์นี้ไม่น่าจะทำให้เกิดข้อตกลงทางเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการ แต่ให้จับตาดูภาษาที่ใช้ในแถลงการณ์ร่วมระหว่างสหรัฐฯและอาเซียน
เขากล่าวว่า แถลงการณ์ร่วมอาจบ่งบอกถึงก้าวต่อ ๆ ไปของความร่วมมือระหว่างอาเซียนและสหรัฐฯ
เจยันต์ มีน่อน กล่าวว่า แถลงการณ์ร่วมอาจแตะเรื่องความร่วมมือเพื่อป้องกันวิกฤตด้านสาธารณสุข และความร่วมมือเรื่องสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจจากพลังงานสะอาด
- ที่มา: วีโอเอ