อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้น 8.5% ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา มากที่สุดในรอบกว่า 40 ปี ขณะที่ต้นทุนค่าอาหาร เชื้อเพลิง ที่อยู่อาศัย และสินค้าจำเป็นอื่น ๆ ของครอบครัวอเมริกัน ต่างเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ระบุในวันอังคารว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 8.5% ในเดือนมีนาคมเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม ปีค.ศ. 1981 และเพิ่มจากเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ 1.2% สูงที่สุดในรอบ 17 ปี
ปัญหาห่วงโซ่อุปทานสินค้า ความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น และความติดขัดในตลาดอาหารและพลังงานโลกเนื่องจากสงครามในยูเครน ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า เมื่อพิจารณาราคาสินค้าแต่ละประเภท พบว่าราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น 48% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ราคารถมือสองเพิ่มขึ้น 35.3% ราคาเฟอร์นิเจอร์เพิ่มขึ้น 14.7% ราคาเสื้อผ้าเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 14.5% และราคาสินค้าอุปโภคบริโภคต่าง ๆ เพิ่มขึ้นราว 10% จากเดือนมีนาคมปีที่แล้ว
และหากพิจารณาแค่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน หรือ core inflation ซึ่งไม่รวมสินค้าในหมวดอาหารสดและพลังงานที่มีความผันผวนสูงและนอกเหนือการควบคุมของรัฐบาลออกไป จะพบว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงอยู่ที่ระดับ 6.5% ซึ่งมากที่สุดในรอบ 40 ปี
ตัวเลขเงินเฟ้อในเดือนมีนาคมนี้ถือเป็นครั้งแรกที่รวมราคาน้ำมันซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากที่รัสเซียบุกยูเครน นำไปสู่มาตรการลงโทษอย่างรุนแรงจากชาติตะวันตก ส่งผลให้ต้นทุนค่าขนส่งสินค้าพุ่งสูงขึ้นและราคาขายสำหรับผู้บริโภคก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
นักเศรษฐศาสตร์ชี้ว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ฟื้นตัวจากช่วงการระบาดใหญ่ ผู้บริโภคเริ่มขยายการใช้จ่ายนอกเหนือจากสินค้าจำเป็นไปเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยต่าง ๆ มากขึ้น รวมถึงรถยนต์ เฟอร์นิเจอร์ สินค้าอิเลกทรอนิกส์ และบริการต่าง ๆ รวมทั้งภาคการท่องเที่ยวและสันทนาการ เห็นได้จากราคาตั๋วเครื่องบินและโรงแรมที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 20%
นักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่า ระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ จะขึ้นดอกเบี้ยหลายครั้งในปีนี้เพื่อชะลอการกู้ยืมเงินและการใช้จ่ายของประชาชนและภาคธุรกิจต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายควบคุมอัตราเงินเฟ้อเอาไว้
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในขณะนี้ยังคงแข็งแกร่ง อัตราการว่างงานลดลงอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 50 ปี และการจ้างงานพุ่งสูงขึ้น แม้ว่าปัญหาเงินเฟ้อสูงนี้อาจเพิ่มแรงท้าทายทางการเมืองให้กับรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก่อนที่จะถึงการเลือกตั้งกลางเทอมในช่วงปลายปีนี้ได้เช่นกัน
- ที่มา: เอพี