งานประกาศผลรางวัลออสการ์ที่จบลงไปในคืนวันอาทิตย์ (27 มี.ค.) ตามเวลาในสหรัฐฯ เกิดเหตุการณ์ดราม่าที่กลบกระแสรางวัลต่าง ๆ ในค่ำคืนที่ออสการ์กลับคืนสู่บรรยากาศเดิมอีกครั้งหลังจากที่เพิ่งหลุดพ้นจากข้อจำกัดของมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด-19 พร้อมกับเรตติ้งผู้ชมที่ตกต่ำมาหลายปี
โดยในการประกาศผลปีนี้ ภาพยนต์เรื่อง CODA ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตครอบครัวที่มีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นคนหูหนวก สามารถคว้าชัยในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ถือเป็นภาพยนตร์ที่ฉายทางบริการสตรีมมิ่งเรื่องแรกที่คว้ารางวัลออสการ์ในสาขานี้ได้
ขณะที่ ทรอย โคทเซอร์ ได้รับรางวัลในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่องนี้ สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักแสดงชายหูหนวกคนแรกที่ได้รับรางวัลออสการ์เช่นกัน
ส่วนรางวัลผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ตกเป็นของ เจน แคมเปียน จากเรื่อง The Power of the Dog ซึ่งเข้าชิงถึง 12 สาขา แต่กลับคว้ารางวัลใหญ่มาได้เพียงสาขาเดียว อย่างไรก็ตาม แคมเปียนถือเป็นผู้กำกับหญิงคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์เวทีออสการ์ที่ได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยียม และยังสร้างประวัติศาสตร์เป็นปีที่สองติดต่อกันที่ผู้กำกับหญิงสามารถคว้ารางวัลอันทรงเกียรตินี้
รางวัลนักแสดงนำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยมตกเป็นของ เจสสิกา แชสเทน จากภาพยนตร์ The Eyes of Tammy Faye ขณะที่รางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม ตกเป็นของ อาริอานา ดีโบส จากภาพยนตร์มิวสิคัล West Side Story เวอร์ชั่นที่กำกับโดย สตีเวน สปีลเบิร์ก
แต่ที่สร้างความฮือฮาที่สุดในการประกาศผลรางวัลออสการ์ในปีนี้ คงไม่พ้น วิลล์ สมิธ ผู้คว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์ King Richard ซึ่งก่อนหน้านั้นเขาได้ทำสิ่งที่ผู้ร่วมงานและผู้ชมทางบ้านต่างไม่คาดฝัน เมื่อเขาเดินไปตบหน้า คริส ร็อค นักแสดงตลกผิวสีที่ออกมาเรียกเสียงหัวเราะด้วยการแซวและจิกกัดผู้ร่วมงาน แต่ที่ทำให้สมิธไม่พอใจอย่างมากคือการแซวภรรยาของเขา เจดา พิงเกตต์ สมิธ เรื่องที่เธอต้องโกนผมด้วยโรคประจำตัว
ภายหลังจากที่ได้รับการประกาศให้ชนะรางวัลนักแสดงนำฝ่ายชายยอดเยี่ยม วิลล์ สมิธ ขึ้นกล่าวขอบคุณทั้งน้ำตา พร้อมขอโทษที่เกิดเรื่องราวนี้ขึ้น และยืนยันว่าเขาทำไปเพราะต้อง "ปกป้องครอบครัว" เช่นเดียวกับตัวแสดงของเขาในเรื่อง King Richard ที่ปกป้องครอบครัวของเขาเช่นกัน
- ข้อมูลบางส่วนจากเอพี