ใบปริญญา ยังหมายถึงเงินเดือนสูงกว่าจริงหรือไม่?

A graduating Masters student from the Columbia University Graduate School of Architecture, Planning and Preservation (GSAPP) stands on campus the day before his graduation ceremony, which is to be held online due to the outbreak of the coronavirus.

Your browser doesn’t support HTML5

Degree May Not Be Worth It


มีชาวอเมริกันจำนวนมากขึ้นที่กำลังตั้งคำถามถึงคุณค่าของปริญญาสี่ปีในมหาวิทยาลัย เนื่องจากค่าเล่าเรียนในระดับอุดมศึกษาที่มีราคาสูงขึ้น หลายคนกล่าวว่านักเรียนต้องมีหนี้สินท่วมตัวแต่กลับไม่มีเส้นทางในหน้าที่การงานที่ชัดเจน

บริษัทวิจัย Gallup ได้สอบถามความคิดเห็นของครอบครัวชาวอเมริกันเกี่ยวกับปัญหานี้เมื่อเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม ปี ค.ศ. 2020 และพบว่า 46% ของครอบครัวคนอเมริกัน กล่าวว่า พวกเขาต้องการให้ลูกของตนทำอย่างอื่นมากกว่าเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย แม้ว่าจะไม่มีอุปสรรคทางการเงินใด ๆ เลยก็ตาม

อย่างไรก็ตาม จากการศึกษานี้พบว่า ผู้ที่จบปริญญา 4 ปีเต็มจากมหาวิทยาลัยมีรายได้ตลอดชีพมากกว่าผู้ที่มีการศึกษาน้อยกว่า ส่วนผู้ที่มีประกาศนียบัตรระดับมัธยมปลาย ประกาศนียบัตรวิชาชีพ หรือจบปริญญา 2 ปีจากมหาวิทยาลัย มีรายได้โดยเฉลี่ยน้อยกว่า

รายได้เทียบต้นทุนการเรียนในมหาวิทยาลัย

รายงานจาก New York Federal Reserve หรือ ระบบธนาคารกลางนครนิวยอร์ก ระบุว่า การลงทุนเพื่อจบการศึกษาระดับปริญญาตรีมักจะได้รับผลตอบแทนที่ดี นอกจากนี้ข้อมูลยังแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีจะมีเงินเดือนสูงกว่าต้นทุนค่าเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยโดยเฉลี่ย 14 เปอร์เซ็นต์

ทั้งนี้ รายได้เฉลี่ยสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจะอยู่ที่ประมาณ 78,000 ดอลลาร์ต่อปี เทียบกับผู้ที่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายซึ่งมีรายได้เฉลี่ยเพียง 45,000 ดอลลาร์ต่อปี

อย่างไรก็ตาม คำว่า “โดยเฉลี่ย” ไม่ได้หมายความว่าผลตอบแทนจากการศึกษาระดับปริญญาตรีนั้นจะดีเสมอไป แต่ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยที่เข้าเรียน หนี้สะสม และสาขาวิชาที่เลือก ที่จะเป็นตัวช่วยกำหนดผลตอบแทนในการลงทุนของพวกเขา ​

นอกจากนี้เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ และเพศของนักเรียน ก็มีอิทธิพลในเรื่องนี้ด้วยเช่นเดียวกัน

เงินกู้เพื่อการศึกษา

Student Loans หรือเงินที่นักเรียนกู้มาเพื่อเป็นค่าเล่าเรียนนั้นอาจส่งผลต่อมูลค่าของปริญญาตรี กล่าวคือ การกู้เงินเรียนนั้นเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยง และยากยิ่งกว่าในการชำระคืน

ข้อมูลของรัฐบาลกลางแสดงให้เห็นว่า ค่าใช้จ่ายในมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ นั้นเพิ่มขึ้น 117 เปอร์เซนต์ จากปี 1985 ถึง 2019 แต่ค่าจ้างกลับเพิ่มขึ้นเพียง 19 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเวลาเดียวกัน

การกู้เงินเรียนยังคงเป็นวิธีหลักสำหรับนักเรียนส่วนใหญ่ในการชำระค่าเล่าเรียน การที่จะทำให้ปริญญาของตนมีความคุ้มค่า นักเรียนจะต้องได้รับเงินเดือนเพียงพอที่จะจ่ายคืนแก่ผู้ให้กู้ การชำระเงินกู้ที่นักเรียนสามารถจ่ายได้คือประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของรายได้หลังหักภาษี นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมการสำเร็จการศึกษาจึงมีความสำคัญมาก

การมีหนี้สินจำนวนมากแต่ไม่มีใบปริญญา คือผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัย

ปัจจัยด้านสาขาที่เรียน

สาขาที่เรียนมีผลต่อรายได้ไม่น้อยเช่นกัน โดยบางสาขาวิชาทำรายได้มากกว่าสาขาอื่นๆ กล่าวคือ ผู้ที่มีรายได้เฉลี่ยในช่วงกลางของอาชีพการงานสูงที่สุด คือผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีในสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์

ศูนย์การศึกษาและแรงงานของมหาวิทยาลัย Georgetown University กล่าวว่า คนทำงานที่จบสาขาดังกล่าวมีรายได้เฉลี่ย 76,000 ดอลลาร์ต่อปี ตามด้วยผู้ที่จบการศึกษาด้านธุรกิจอยู่ที่ 67,000 ดอลลาร์ต่อปี และเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุข 65,000 ดอลลาร์ต่อปี

สำหรับรายได้เฉลี่ยต่ำสุด คือผู้ที่จบสาขาศิลปะหรือมนุษยศาสตร์อยู่ที่ระดับ 51,000 ดอลลาร์ต่อปี เช่นเดียวกับผู้ที่จบด้านการสอนซึ่งมีรายได้เฉลี่ย 46,000 ดอลลาร์ต่อปี

ปัจจัยด้านที่อยู่อาศัย

สถานที่อยู่อาศัยก็เป็นปัจจัยสำคัญของเรื่องนี้เช่นเดียวกัน เมื่อเดือนพฤษภาคม 2020 สถาบัน Thomas B. Fordham ได้เผยแพร่การศึกษาเกี่ยวกับรายได้ของบัณฑิตมหาวิทยาลัย ซึ่งระบุว่าคนในเมืองได้รับค่าจ้างสูงกว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีประชากรน้อย

ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีตามเมืองต่าง ๆ จะมีรายได้โดยเฉลี่ย 95,229 ดอลลาร์ เพราะเมืองเหล่านั้นมีงานที่ต้องการวุฒิปริญญามากกว่าเมืองเล็ก ๆ โดยนักศึกษาที่จบสาขาวิชาเทคโนโลยี การเงิน หรือการตลาด จะได้รับค่าจ้างที่สูงขึ้น

ความไม่เสมอภาคด้านการศึกษา

Marshall Anthony Jr แห่งศูนย์ Center for American Progress กล่าวว่า ในบางครั้งการศึกษาในระดับปริญญาตรีก็อาจทำให้ความไม่เท่าเทียมกันในเรื่องรายได้และเชื้อชาติย่ำแย่ลง นักเรียนที่ยากจนจะมีปัญหาในเรื่องการชำระหนี้ ส่งผลให้พวกเขาประสบปัญหาทางเศรษฐกิจมากขึ้น

ทั้งนี้ นักเรียนผิวดำมักมีหนี้สินมากกว่านักเรียนอเมริกันผิวขาวโดยเฉลี่ย 25,000 ดอลลาร์ สถาบัน Brookings Institution พบว่า หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้ว คนอเมริกันผิวดำมีหนี้ที่กู้มาเป็นค่าเล่าเรียนประมาณ 52,726 ดอลลาร์ ในขณะที่นักศึกษาผิวขาวมีหนี้ประมาณ 28,006 ดอลลาร์

ซึ่งหนี้ที่สูงกว่าและค่าจ้างที่ต่ำกว่า หมายความว่าผู้กู้ผิวสีจะต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปด้วย

(ที่มา: The Associated Press)