ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ หรือ ซีดีซี อนุมัติให้มีการใช้วัคซีนไฟเซอร์เข็มสามสำหรับประชาชนบางกลุ่มที่ฉีดวัคซีนครบโดสไปแล้วอย่างน้อยหกเดือน
บุคลากรด่านหน้า เช่น ครู บุคลากรด้านสาธารณสุข และผู้ประกอบอาชีพที่เสี่ยงต่อการติดโรคโควิด-19 จะได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นนี้ เช่นเดียวกับประชาชนอายุ 65 ปีขึ้นไป ผู้อาศัยในบ้านพักคนชรา และประชาชนอายุ 50-64 ปีที่มีปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพ
โดยเมื่อคืนวันพฤหัสบดี แพทย์หญิงโรเชล วาเลนสกี ผู้อำนวยการซีดีซี ตัดสินใจเพิ่มบุคลการด่านหน้าให้อยู่ในกลุ่มบุคคลที่จะได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นนี้ได้ เพิ่มจากกลุ่มบุคคลเดิมที่คณะกรรมการที่ปรึกษาของซีดีซีได้แนะนำไว้ก่อนหน้านี้
เมื่อวันพุธ สำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ อนุมัติวัคซีนไฟเซอร์เข็มสามให้แก่ประชาชนอายุ 65 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรง และผู้ที่สัมผัสกับเชื้อโคโรนาไวรัสเป็นประจำ
ส่วนองค์การยาแห่งสหภาพยุโรปก็ระบุเมื่อวันพฤหัสบดีว่า ทางหน่วยงานอาจตัดสินใจว่าจะอนุมัติวัคซีนเข็มสามจากไฟเซอร์และไบโอเอนเท็คสำหรับประชาชนอายุ 16 ปีขึ้นไปหรือไม่ ในช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้
ก่อนหน้านี้ หน่วยงานดังกล่าวอนุมัติให้มีการฉีดวัคซีนสองเข็ม อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อในผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วทำให้องค์การนี้เร่งทบทวนการอนุมัติวัคซีนเข็มสามสำหรับประชาชนอายุ 16 ปีขึ้นไป โดยมีระยะห่างหลังจากเข็มสองหกเดือน
ผู้นำประเทศแอฟริกาวิจารณ์โอกาสการเข้าถึงวัคซีนที่ไม่เท่าเทียม
ประธานาธิบดีไซริล รามาโฟซา ของแอฟริกาใต้ กล่าวในสุนทรพจน์ทางวิดีโอต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติว่า วัคซีนทั่วโลกกว่า 82 เปอร์เซ็นต์เป็นของประเทศร่ำรวย และมีวัคซีนเพียงไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่เป็นของประเทศที่มีรายได้ต่ำ
ทางด้านศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของแอฟริการายงานว่า มีประชากรในทวีปแอฟริกาเพียงสี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว
ส่วนประธานาธิบดีเอ็มเมอร์สัน มนังกากวา ของซิมบับเว ก็ระบุว่า การกักตุนวัคซีนและการแจกจ่ายวัคซีนอย่างไม่เป็นธรรม จนทำให้เกิดการฉีดวัคซีนอย่างไม่ทั่วถึงทั่วโลกนี้เป็นสิ่งที่รับไม่ได้
เขาระบุว่า การใช้แนวคิดเรื่องชาตินิยมกับวัคซีนเป็นเรื่องที่ย้อนแย้งกับหลักการที่ว่า “จะไม่มีผู้ใดปลอดภัยจนกว่าทุกคนจะปลอดภัย” และทุกคนในโลกควรเข้าถึงวัคซีนไม่ว่าจะอยู่ที่ใด มีฐานะอย่างไร หรือมีอายุเท่าใด