Your browser doesn’t support HTML5
สื่อต่างประเทศหลักๆ ลงข่าวใหญ่เรื่องการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และถ่ายทอดพระราชประวัติของพระองค์ในฐานะกษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก
สำนักข่าวต่างชาติเช่น Reuters, Associated Press, Bloomberg และหนังสือพิมพ์ขนาดใหญ่อย่าง New York Times และ The Wall Street Journal ต่างกล่าวถึงพระองค์ว่าทรงเป็นอำนาจที่ยึดเหนี่ยวประเทศให้เป็นปึกแผ่น และผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ มาได้หลายครั้ง
The Wall Street Journal สัมภาษณ์ Tareck Horchani รองหัวหน้าฝ่ายค้าหลักทรัพย์ของ Saxo Capital Markets ในประเทศสิงคโปร์
เขากล่าวว่า “สิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวประเทศไทยเอาไว้คือพระมหากษัตริย์”
The Wall Street Journal รายงานว่า ตลอดระยะเวลา 70 ปีภายใต้การครองราชย์ ประเทศไทยผ่านพ้นเหตุการณ์ต่างๆ เช่น ช่วงสงครามเย็น ความวุ่นวายในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชาและเวียดนาม รวมถึงความปั่นป่วนภายในประเทศ ซึ่งรวมถึงการก่อรัฐประหารหลายครั้ง
หนังสือพิมพ์ฉบับนี้บอกว่า ไทยเป็นประเทศไม่กี่ประเทศที่สถาบันกษัตริย์มีอิทธิพลต่อประชาชนอย่างแท้จริง และไทยก็แตกต่างจากประเทศที่มีกษัตริย์ขนาดเล็กอื่นๆ เช่น บรูไนและภูฏาน ตรงที่ประเทศไทยเป็นพันธมิตรที่สำคัญของสหรัฐฯ และมีบทบาทใหญ่ทางเศรษฐกิจในตลาดโลก
New York Times สื่อหลักของสหรัฐฯ อีกแห่งหนึ่ง กล่าวว่าในช่วงที่พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจแบบที่มีการเกษตรนำ มาสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่ ทั้งด้านอุตสาหกรรม การพาณิชย์ และการมีฐานชนชั้นกลางที่ใหญ่ขึ้น
New York Times กล่าวว่า แม้บทบาทของพระองค์อาจดูน้อยลงในช่วงที่มีพระพลานามัยไม่แข็งแรง ซึ่งเวลานั้นมีการประท้วงที่รุนแรงและรัฐประหาร แต่ก่อนหน้านี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นประมุขของประเทศในระยะเวลาที่การปกครองและกระบวนการตามระบบประชาธิปไตยเติบโตอย่างกว้างขวาง
New York Times บอกว่าหลังการเสด็จสวรรคตของรัชกาลที่ 9 ของไทย สมเด็จพระราชินี Elizabeth ของอังกฤษ จะทรงเป็นประมุขของราชวงศ์ซึ่งยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่และครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก
ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้สมเด็จพระราชินีอังกฤษทรงครองราชย์มายาวนานกว่า 64 ปี
สำนักข่าว Associated Press ของสหรัฐฯ รายงานว่า ในหลวงของไทยมีพระราชจริยวัตรที่ประชาชนเข้าถึงง่าย โดยใช้คำว่า “down-to-earth” หรือ ติดดิน
ผู้สื่อข่าวของ AP เขียนว่า แม้ผู้นำทหาร นายกรัฐมนตรี และข้าราชบริพารในราชสำนักไทยต้องคลานเข่าเมื่อเข้าหาพระองค์ท่าน แต่สำหรับประชาชนและชาวบ้าน พระองค์ทรงไม่ถือพระองค์อย่างน่าทึ่ง และทรงเป็นทั้งผู้แก้ปัญหาปากท้อง ไปจนถึงเรื่องในครอบครัวของพสกนิกร ที่พระองค์ทรงพบระหว่างการเสด็จพระราชดำเนินไปตามถิ่นทุรกันดาร
ในรายงานของ Bloomberg กล่าวถึงการเสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐฯ ว่ารัฐบาลอเมริกันถวายการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะในปี ค.ศ. 1960 หรือ 56 ปีก่อน ที่ประธานาธิบดี Dwight D. Eisenhower เป็นผู้นำสหรัฐฯ
ในครั้งนั้น พระองค์ทรงเสด็จพระราชดำเนินในขบวนพาเหรดที่นครนิวยอร์ก ซึ่งมีกระดาษริบบิ้นชิ้นเล็กโปรยปรายตลอดทาง
สหรัฐฯ ยังได้กราบบังคมทูลให้พระองค์ตรัสต่อที่ประชุมร่วมรัฐสภา และอีก 7 ปีต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จเยือนสหรัฐฯ ครั้งสุดท้าย ในปีนั้นประธานาธิบดี Lyndon B. Johnson ถวายการต้อนรับที่ทำเนียบขาว
และเมื่อประธานาธิบดี Richard Nixon ขึ้นมาบริหารประเทศ เขาเดินทางเยือนไทยในปี ค.ศ. 1969 และได้รับเกียรติเป็นพระราชอาคันตุกะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ตามรายงานของ Bloomberg
สำนักข่าวสหรัฐฯ แห่งนี้รายงานว่า ครั้งหนึ่งพระองค์ทรงเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร LEADERS ว่าประธานรัฐสภาอาจมากราบบังคลทูลขอคำปรึกษาจากกษัตริย์ แต่กษัตริย์อาจมีอำนาจมากกว่านั้น หากว่าสามารถสร้างศรัทธาในหมู่ประชาชนได้
(รายงานโดย Reuters, Associated Press, Bloomberg, New York Times และ The Wall Street Journal / เรียบเรียงโดย รัตพล อ่อนสนิท)