Your browser doesn’t support HTML5
คนเราไม่มีทางหยุดยั้งภัยธรรมชาติไม่ให้เกิดขึ้นได้ แต่ก็มีหลายวิธีด้วยกันที่จะช่วยป้องกันไม่ให้ภัยธรรมชาติส่งผลกระทบทางชีวิตและทรัพย์สินรุนแรงเข้าขั้นวิกฤติ
ทีมผู้เขียนรายงาน World Disasters Report ปีนี้ย้ำว่า เหตุการณ์ภัยธรรมชาติหลายเหตุการณ์ อาทิ พายุเฮอร์ริเคน น้ำท่วม และฝนเเล้ง ล้วนเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศโลกและสามารถพยากรณ์ได้ล่วงหน้า
ดังนั้นรัฐบาลประเทศต่างๆ มีโอกาสลดความรุนแรงของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นลงได้ ด้วยการลงทุนในการเตรียมความพร้อมและมาตรการต่างๆ ในการลดความเสี่ยงต่อเหตุการณ์วิกฤติ
Elhadj As Sy เลขาธิการสมาพันธ์กาชาดสากล และสมาคมเสี้ยววงเดือนแดง หรือ IFRC (the International Federation of Red Cross and Red Crescent Societies) กล่าวว่า การเน้นมาตราการเตือนภัยล่วงหน้า และการตอบสนองต่อเหตุการณ์อย่างรวดเร็ว จะช่วยลดระดับความรุนแรงของผลกระทบที่จะเกิดตามมาได้
Elhadj As Sy กล่าวว่า สมควรมากที่ต้องลงทุนด้านการเตรียมตัวให้พร้อม เช่นเดียวกับการลงทุนเพื่อพัฒนาความสามารถในการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากความเสียหาย เพราะนอกจากจะเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเเล้ว ยังถือเป็นการลงทุนที่ฉลาดหากมองในเชิงเศรษฐกิจ
และที่สำคัญกว่านั้น การลงทุนในการเตรียมตัวรับมือจะช่วยรักษาชีวิตคน ซึ่งถือว่าเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุด
เมื่อปีที่แล้ว รายงานชี้ว่ามีคน 108 ล้านคนได้รับผลกระทบจากมหันตภัย และย้ำว่าจำนวนครั้งและระดับความรุนแรงของวิกฤติที่เกิดจากภัยธรรมชาติต่างๆ กำลังเพิ่มสูงขึ้น
David Sanderson บรรณาธิการร่วมกล่าวว่า เมื่อพูดถึงการช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ควรปรับเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติจากที่เคยทำมา เขากล่าวว่าในระหว่างปี ค.ศ. 1991-2010 ทั่วโลกใช้เงินในวิกฤติจากภัยธรรมชาติไปถึง 100,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ โดย 2 ใน 3 ของเงินจำนวนนี้ใช้ไปกับการตอบสนองต่อสถานการณ์ภัยธรรมชาติ
และมีการลงทุนกับการลดความเสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติแค่ 40 เซ็นต์ต่อหนึ่งดอลล่าร์สหรัฐฯ เท่านั้น เทียบได้กับหยดน้ำหนึ่งหยดในมหาสมุทร
ในขณะเดียวกัน รายงานชิ้นใหม่อีกชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับการเสียชีวิตจากมหันตภัยธรรมชาตินาน 20 ปี ระหว่างปี ค.ศ. 1996 - 2015 ("Poverty & Death: Disaster Mortality 1996-2015) ชี้ว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของการเสียชีวิตจากภัยธรรมชาติ เกิดขึ้นในประเทศรายได้ต่ำเเละปานกลาง
รายงานนี้พบว่าเกิดเหตุภัยธรรมชาติขึ้นกว่า 7,000 เหตุการณ์ในช่วง 20 ปี และทำให้คนเสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 1 ล้านคน
และจากการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่าเหตุเเผ่นดินไหวกับคลื่นทะเลยักษ์สึนามิ เป็นต้นเหตุอันดับหนึ่ง ตามมาติดๆ โดยภัยธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อน ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวตลอด 20 ปีที่ผ่านมา โดยในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา วิกฤติที่เกิดจากภัยเเล้ง ปรากฏการณ์คลื่นความร้อน เหตุน้ำท่วมและพายุ ได้กลายเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิต
Robert Glasser ผู้เเทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติด้านการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ กล่าวว่า มีความเกี่ยวข้องชัดเจนระหว่างการเสียชีวิตเหล่านี้กับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศโลก และกับระดับรายได้เเละการพัฒนา
เขากล่าวว่าประเทศรายได้น้อยและด้อยพัฒนา ซึ่งมีส่วนร่วมสร้างภาวะโลกร้อนน้อยกว่าประเทศร่ำรวย แต่กลับได้รับผลกระทบมากที่สุดในเชิงของจำนวนคนเสียชีวิตจากภัยธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อน ที่เกิดขึ้นบ่อยมากขึ้นและรุนแรงมากขึ้น
ประเทศเฮติเป็นตัวอย่างที่ดีในประเด็นนี้ Glasser เน้นว่าเฮติประสบเหตุเเผ่นดินไหวรุนแรงในปี ค.ศ. 2010 และเมื่อเร็วๆ นี้ ยังถูกพายุเฮอร์ริเคนเเมทธิวถล่มอีกด้วย ประเทศนี้สูญเสียชีวิตคนไปกับภัยธรรมชาติมากกว่าประเทศอื่นๆ และติดอันดับที่หนึ่งในบรรดา 10 ประเทศที่มีคนเสียชีวิตจากภัยธรรมชาติมากที่สุด ตามมาด้วยอินโดนีเซียและเมียนม่าร์
โดยไม่มีประเทศร่ำรวยเเม้ประเทศเดียวติดในสิบอันดับแรกของจำนวนผู้เสียชีวิตนี้
แต่รายงานนี้ชี้ว่าบรรดาประเทศร่ำรวยประสบกับความสูญเสียทางเศรษฐกิจมากที่สุดจากเหตุภัยธรรมชาติ คิดเป็นเงินถึง $400,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ หรือมากกว่านั้นต่อปี
เลขาธิการสหประชาชาติ Ban Ki-moon เทียบรายงานชิ้นนี้ว่าเป็นเหมือนการฟ้องอย่างชัดเจน ให้เห็นถึงปัญหาความไม่เท่าเทียมเ พราะในขณะที่ชาติร่ำรวยสูญเสียในรูปตัวเงินแต่คนในประเทศยากจนต้องสูญเสียชีวิต
(รายงานโดย Lisa Schlein / เรียบเรียงโดย ทักษิณา ข่ายแก้ว)