Your browser doesn’t support HTML5
การใช้เซลล์จากร่างกายของผู้หญิงกับสัตว์ทดลองเพศเมียในการวิจัยทางการแพทย์อาจดูไม่เป็นเรื่องใหญ่ แต่การประกาศของสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐ (U.S. National Institute of Health) หรือ NIH ที่ระบุให้นักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับเงินสนับสนุนการวิจัยทางการแพทย์จากรัฐบาลสหรัฐใช้เซลล์จากร่างกายผู้หญิงกับสัตว์ทดลองเพศเมียในการวิจัยในช่วงก่อนนำไปทดสอบในคนถือเป็นความคืบหน้าที่สำคัญมาก
สถาบัน NIH เป็นผู้สนับสนุนทางการเงินเเก่การวิจัยทางการเเพทย์ในสหรัฐรายใหญ่ที่สุด และในการวิจัยทางการแพทย์ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้ชายมีส่วนร่วมในการวิจัยมากกว่าผู้หญิง
คุณ Curtis Meinert ผู้เชี่ยวชาญแห่งคณะแพทย์ Bloomberg ที่มหาวิทยาลัย Johns Hopkins University ในเมืองบัลติมอร์ รัฐเเมรี่เเลนด์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบการทดลองทางคลีนิค เขาคิดว่าผลการวิจัยที่ได้จากการศึกษาอาสาสมัครผู้ชายใช้ได้กับผู้หญิง เขากล่าวกับผู้สื่อข่าววีโอเอว่าหากผลการวิจัยได้ผล ไม่ว่านักวิจัยจะใช้ผู้หญิงหรือผู้ชายในการศึกษา ผลการวิจัยดังกล่าวก็ใช้ได้กับคนทั้งสองเพศ
แต่คุณ Phyllis Greenberger ประธานสมาคมเพื่อการวิจัยสุขภาพผู้หญิง (Society for Women’s Health Research) มองเรื่องนี้ในทางตรงกันข้าม เขากล่าวว่าหากนักวิจัยนำประเด็นเรื่องเพศมาพิจารณาร่วมด้วย จะเห็นว่าผลการวิจัยบางอย่างใช้ได้กับผู้ชายแต่ไม่ได้ผลในผู้หญิงหรือในทางกลับกัน และคิดว่านี่ไม่ใช่ประเด็นเกี่ยวกับเพศอีกต่อไปแต่เป็นเรื่องของความเข้าใจในกลไกของโรคมากกว่า
กลุ่มรณงรค์สุขภาพผู้หญิงได้พยายามผลักดันสภาคองเกรสของสหรัฐให้อนุมัติกฏหมายในช่วงคริสตศักราช 1990 เป็นต้นมาให้ออกข้อบังคับว่าการวิจัยทางการเเพทย์ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลใช้เซลล์จากผู้หญิงและสัตว์ทดลองเพศเมียในการวิจัย
ก่อนหน้านั้น เป็นที่ยอมรับกันกว้างขวางว่าหากผลการวิจัยชี้ว่าการบำบัดได้ผลกับผู้ชาย การบำบัดนั้นก็จะใช้ได้ผลกับผู้หญิงเช่นกัน
Dr. Janine Austin Clayton ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยเกี่ยวกับสุขภาพของผู้หญิง ภายใต้สถาบัน NIH กล่าวว่าในปัจจุบัน การวิจัยทางการแพทย์ที่สถาบัน NIH สนับสนุนทางการเงินได้รวมเอาทั้งอาสาสมัครผู้ชายเเละผู้หญิงเข้าไว้ในการศึกษาในจำนวนเท่าๆกัน และว่า ผู้ชายกับผู้หญิงตอบสนองแตกต่างกันต่อยาชนิดเดียวกัน ยาบางชนิดอาจจะมีผลเสียต่อผู้หญิง หากรับประทานยาในปริมาณเท่ากับที่ให้เเก่ผู้ป่วยผู้ชาย
Dr. Clayton กล่าวปิดท้ายรายงานจากผู้สื่อข่าววีโอเอว่าเเพทย์จำเป็นต้องเข้าใจความแตกต่างนี้เพื่อให้การรักษาผู้ป่วยแต่ละคนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีหลักฐานทางการวิจัยประกอบ
Dr. Clayton กล่าวว่าโรคบางอย่าง อาทิ โรคหัวใจและโรคตาบางโรค มีความแตกต่างของโรคระหว่างผู้ป่วยหญิงกับผู้ป่วยชายและแพทย์ต้องใช้ขนาดของยารักษาโรคในปริมาณที่แตกต่างออกไปในผู้ป่วยหญิง