เหตุใดผู้นำสตรี ถึงทำให้มีความแตกต่างทางการเมือง? 

Elizabeth Warren and Amy Klobuchar

Your browser doesn’t support HTML5

Women Leader


การเลือกตั้งทั่วไปในสหรัฐฯ เมื่อสองปีก่อน ได้สร้างปรากฎการณ์ใหม่ เป็นการเลือกตั้งที่ได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหญิงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ โดยมี ส.ส.หญิงครองที่นั่งถึงเกือบหนึ่งในสี่ของทั้งหมด 435 ที่นั่งในสภาคองเกรส เช่นเดียวกับสมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว.หญิง ที่ได้ไปถึง 26 จาก 100 ที่นั่ง

ส่วนในสนามการแข่งขันเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตเพื่อลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปีนี้ มีผู้หญิงที่ยังยืนหยัดแถวหน้าอยู่สองคนด้วยกัน คือ อลิซาเบธ วอร์เรน (Elizabeth Warren) ส.ว. รัฐแมสซาชูเซ็ตส์ และ เอมี โคลบูชา (Amy Klobuchar) ส.ว. รัฐมินนิโซตา

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า "วอร์เรน" และ "โคลบูชา" ต้องเจอกับศึกหนัก เพราะผู้หญิงที่ต้องการเป็นผู้นำประเทศ มักจะถูกสังคมประเมินด้วยมาตรฐานที่สูง ยิ่งกว่าที่ใช้ประเมินคู่แข่งเพศชาย

Seven of the Democratic US Presidential candidates including former U.S. Vice President Joe Biden, Sen. Amy Klobuchar, Sen. Elizabeth Warren and Sen. Bernie Sanders, walk arm-in-arm with local African-American leaders during the Martin Luther King…

อแมนดา ฮันเตอร์ (Amanda Hunter) ผู้อำนวยการด้านการวิจัยและสื่อสารของมูลนิธิ Barbara Lee Family Foundation ซึ่งเป็นองค์กรที่สนับสนุนให้ผู้หญิงมีบทบาทที่เท่าเทียมในภาคการเมืองอเมริกัน บอกว่าผู้หญิงถูกคาดหวังให้ต้องทำได้ดีกว่าผู้ชายถึงสองเท่า พวกเธอต้องทำให้สังคมชื่นชอบ แต่ต้องไม่มากหรือไม่น้อยจนเกินไป ในขณะเดียวกันก็ต้องทำให้สังคมนับถือ และพิสูจน์ว่าพวกเธอมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับตำแหน่งสูงสุดของประเทศ

ถึงอย่างนั้นก็ตาม หลายคนมองว่าเมื่อผู้หญิงได้เป็นผู้นำประเทศแล้ว ก็มักจะทำให้การเมืองเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

ไฮดี ไฮท์แคมป์ (Heidi Heitkamp) อดีตสมาชิกวุฒิสภาจากรัฐนอร์ธ ดาโกตา บอกว่าผู้นำสตรีมักจะแก้ปัญหาที่กระทบกับทุกคน เช่น สิทธิลาเพื่อคลอดบุตร สวัสดิการการดูแลบุตรหลังคลอด และกองทุนเกษียณ พวกเธอยังใส่ใจปัญหาสังคมอย่าง การใช้ความรุนแรงในครอบครัว การคุกคามและการล่วงเกินทางเพศอีกด้วย

หากไม่มีผู้หญิงในสนามการเมืองเลย ปัญหาสังคมหลาย ๆ ประเด็นก็อาจจะไม่ถูกนำมาพูดถึงหรือถกเถียงกันในเวทีสาธารณะ

ไฮท์แคมป์ยังมองด้วยว่า ผู้หญิงไม่ได้ลงเล่นการเมืองเพื่อสนองอัตตาตัวเอง หรือมองว่าเป็นลิขิตชีวิต เหมือนนักการเมืองชายบางคน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งก็มักจะเชื่อเช่นกันว่าแรงผลักดันของผู้หญิงไม่ใช่ ความกระหายอำนาจ หรืออัตตา แต่เกิดจากความต้องการที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงในสังคม

Russia-Fake News

แอเรียล ฮิล-เดวิส (Ariel Hill-Davis) ผู้ก่อตั้ง Republican Women for Progress ซึ่งเป็นกลุ่มที่สนับสนุนให้ผู้หญิงจากพรรครีพับลิคันลงชิงตำแหน่งทางการเมือง ยกย่องว่าผู้หญิงเป็นนักประสานและนักแก้ปัญหาโดยธรรมชาติ เธอกล่าวว่า ส.ว. หญิงของอเมริกา ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ถึงแม้จะเห็นต่างด้านการเมืองก็ตาม

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ ส.ว.หญิงเหล่านี้สามารถช่วยกันผลักดันร่างกฎหมายออกมาได้มาก ซึ่งเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับงานวิจัยเมื่อ 5 ปีก่อน ที่พบว่าส.ว.หญิงทำงานร่วมกันบ่อยกว่า ส.ว.ชาย และยังมีบทบาทมากกว่า ส.ว.ชายในการออกกฎหมายอีกด้วย

ด้านไมเคิล สตีล (Michael Steele) อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรครีพับลิกัน กล่าวว่า ผู้หญิงมีวิธีแก้ปัญหาและบุคลิกที่ต่างจากผู้ชาย ผู้หญิงมักจะใจเย็นกว่าและทำให้ทุกคนหันหน้าเข้าหากันเพื่อใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นสิ่งที่กำลังเป็นที่ต้องการ ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองที่แตกแยกในขณะนี้

อย่างไรก็ตามสหรัฐฯ ยังมีตัวแทนหญิงในรัฐบาลน้อยกว่าอีกหลายสิบประเทศ เช่น เม็กซิโก ตูนิเซีย เวียดนาม และซิมบับเว การสำรวจล่าสุดโดย Inter-Parliamentary Union ยังพบว่าสหรัฐฯ อยู่ในอันดับ 76 จากทั้งหมด 193 ประเทศ หากดูจากจำนวน ส.ส. และ ส.ว. หญิง ที่เป็นตัวแทนรัฐบาลระดับชาติ

บาร์บารา แมคคัลสกี (Barbara Mikulski) อดีต ส.ว.พรรคเดโมแครต เคยสรุปไว้สั้น ๆ ว่า ผู้หญิงนั้น สนใจทั้งเรื่อง macroeconomy และ macaroni-and-cheese ซึ่งหมายความว่า นอกจากพวกเธอจะใส่ใจเรื่องใหญ่ ๆอย่างเศรษฐกิจมหภาคของชาติแล้ว พวกเธอยังไม่ละเลยเรื่องปากท้องของแต่ละครอบครัวอีกด้วย