ทำไมผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันจึงไม่ยอมรับว่า ‘ทรัมป์’ แพ้การเลือกตั้ง?

A supporter of U.S. President Donald Trump holds a banner while reciting the Pledge of Allegiance during a "Stop the Steal" protest after the 2020 U.S. presidential election was called for Democratic candidate Joe Biden, in Washington, U.S. November 14, 2020. REUTERS/Jim Urquhart

รายงานพิเศษของสำนักข่าวรอยเตอร์พบว่า ผู้สนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จำนวนมากยังไม่ยอมรับ และยังไม่เชื่อว่า อดีตรองประธานาธิบดี โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต คือผู้ชนะที่ถูกต้องตามกฎหมายในการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐฯ ในวันที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

นอกจากนี้ พวกเขายังปักใจเชื่อข้อกล่าวหาของทรัมป์ที่บอกว่านี่เป็นการเลือกตั้งที่เต็มไปด้วยการโกง ซึ่งรอยเตอร์รายงานว่า ความเชื่อมั่นที่ผู้สนับสนุนมีต่อทรัมป์ เป็นความเชื่อมั่นที่ไม่มีอะไรมาสั่นคลอนได้ และยังเป็นปรากฎการณ์ระดับชาติของผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันไปแล้ว

ในการสำรวจของรอยเตอร์ในช่วงวันที่ 13-17 พฤศจิกายน มีเพียง 29% ของผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันเท่านั้นที่เชื่อว่า ไบเดน ได้รับชัยชนะอย่างถูกต้อง ในขณะที่การสำรวจความคิดเห็นอื่น ๆ หลังจากการเลือกตั้งพบว่า มีมากถึง 80% ของผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกัน ที่เชื่อข้อกล่าวหาของทรัมป์ว่ามีการโกงการเลือกตั้ง

ผู้สนับสนุนบางคนยังให้สัมภาษณ์ว่าพวกเขาพร้อมที่จะเข้าร่วมทำ “สงครามกลางเมือง” กับอเมริกันหัวเอียงซ้าย เพียงแค่รอให้ทรัมป์เอ่ยปากออกมาเท่านั้น

U.S. President Donald Trump walks down the West Wing colonnade from the Oval Office to the Rose Garden to speak to the press, at the White House in Washington, Nov. 13, 2020.

หลายคนเชื่อในทฤษฎีสมคบคิดว่ามีการโยกย้ายคะแนนหลายล้านคะแนนในรัฐสมรภูมิไปให้ไบเดน โดยเจ้าหน้าที่ดูแลการเลือกตั้งที่มีอคติ หรือมีการแฮ็คเครื่องคอมพิวเตอร์นับคะแนน และทฤษฎีสมคบคิดอื่น ๆ ถึงแม้ว่าจะมีเจ้าหน้าที่พิสูจน์และยืนยันหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าไม่เป็นความจริง

ในส่วนของการดำเนินการทางกฎหมาย คำฟ้องร้องของทรัมป์ หรือทนายและผู้สนับสนุน ถูกผู้พิพากษาตีตกมาแล้วหลายกรณี ในหลายเมือง ในบางกรณีทนายผู้ยื่นฟ้องต้องถอนคำฟ้องเอง เพราะไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันคำร้องเรียนได้

อย่างไรก็ตาม นั่นก็ไม่ได้ทำให้ข้อกล่าวหาว่ามีการโกง หรือขโมยคะแนนเลือกตั้งมีน้ำหนักลดน้อยลงในสายตาของผู้สนับสนุนทรัมป์ รอยเตอร์มองว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะสมาชิกพรรครีพับลิกันบางคนออกมาสนับสนุนข้อกล่าวหานั้น ในขณะที่สมาชิกพรรคส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่ออกมาพูดอะไร ทำให้ไม่มีการยอมรับ และถ่ายโอนอำนาจ ให้กับว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ โจ ไบเดน ได้

ที่สำคัญ ข้อกล่าวหาของทรัมป์ ยังเป็นการทำให้สังคมไม่เชื่อถือสื่อมวลชน การรายงานผลการเลือกตั้งของสำนักข่าวต่าง ๆ และบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐฯ รวมถึงความน่าเชื่อถือของเจ้าหน้าที่เลือกตั้งในระดับชุมชนและระดับรัฐ

Election 2020 Protests Washington

ผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งหลายคนกล่าวกับรอยเตอร์ว่า พวกเขาเชื่อว่ามีการโกงการเลือกตั้ง หลังจากที่รับฟังทรัมป์ และติดตามข่าวของสื่อขวาจัด อย่าง Newsmax และ One American News Network (OANN) ที่สนับสนุนเผยแพร่ข้อกล่าวหาของทรัมป์​ จนทำให้ทั้ง Newsmax และ OANN มียอดผู้ชม และเรตติ้งเพิ่มขึ้นอย่างมาก

ผู้สนับสนุนทรัมป์ซึ่งเคยติดตามสถานีโทรทัศน์อย่าง Fox News มาโดยตลอด ยังได้หันหลังให้กับสื่ออเมริกันช่องนี้ หลังจากที่ Fox News ที่เคยเป็นที่ชื่นชอบของทรัมป์ ประกาศว่า ไบเดน คือผู้ชนะการเลือกตั้ง

นักวิชาการ นักวิเคราะห์​และนักกฎหมายหลายคนจากทั้งสองฝั่งแนวคิดทางการเมือง มองว่าการปฏิเสธผลการเลือกตั้งของผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกัน และการทำให้ทฤษฎีสมคบคิดและข่าวปลอมกลายเป็นเรื่องจริงนั้น เป็นปรากฎการณ์ใหม่ที่อันตรายต่อการเมืองสหรัฐฯ

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกันอย่าง อดัม คินซิงเกอร์ ซึ่งเป็น ส.ส. พรรคเพียงไม่กี่คนที่ยอมรับชัยชนะของไบเดน มองว่าท่าทีของสมาชิกพรรคคนอื่นที่ไม่กล้าแย้งทรัมป์ และทฤษฎีสมคบคิดของผู้นำสหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงภาวะการขาดความกล้าหาญทางการเมือง และหากคนอเมริกันไม่เชื่อมั่นในระบบการเลือกตั้งเสียเองแล้ว ก็อาจจะทำให้เกิด “เรื่องที่เลวร้าย” ขึ้น เช่น การใช้ความรุนแรง การก่อความไม่สงบในสังคม เป็นต้น

เดวิด เกอร์เจน อดีตที่ปรึกษาของประธานาธิบดีทั้งจากฝั่งรีพับลิกันและเดโมแครต มองว่า นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ​ พยายามล้มล้างผลการเลือกตั้ง

แต่นี่อาจจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เพราะสมาชิกพรรครีพับลิกันหลายคนเห็นแล้วว่า การโจมตีความน่าเชื่อถือของการเลือกตั้ง จะเป็นประเด็นหาเสียงที่นำไปสู่ชัยชนะในอนาคต รอยเตอร์ยังอ้างแหล่งข่าวของพรรครีพับลิกันคนหนึ่ง ว่าพรรคเองก็เตรียมที่จะผลักดันให้มีการควบคุมดูแลการเลือกตั้งให้มากยิ่งขึ้นใีนอีกสี่ปีข้างหน้า ที่อาจจะมีชื่อของ โดนัลด์ ทรัมป์ หรือผู้ที่ทรัมป์เลือกมากับมือ เป็นผู้ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี