องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศอนุมัติให้มีการใช้วัคซีนโควิด-19 จากบริษัท ซิโนฟาร์ม (Sinopharm) ของทางการจีน เป็นกรณีฉุกเฉินแล้ว ขณะที่บริษัทยาไฟเซอร์ (Pfizer) เร่งขออนุมัติจากสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ เพื่อให้ใช้งานเต็มรูปแบบในประเทศนี้อยู่
ในระหว่างการแถลงข่าวในวันศุกร์ที่นครเจนีวา เทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก เปิดเผยว่า คณะที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ของ WHO ที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างภูมิคุ้มกันได้ทบทวนข้อมูลต่าง ของวัคซีนจากบริษัท ซิโนฟาร์ม แล้วและให้คำแนะนำว่าสามารถฉีดให้กับผู้ที่มีอายุตั้ง 18 ขึ้นไป ด้วยจำนวน 2 โดส
การอนุมัติให้มีการใช้งานในกรณีฉุกเฉินโดย WHO นั้น เป็นสัญญาณที่ส่งไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก ว่า สามารถทำการอนุมัติวัคซีนตัวดังกล่าวเพื่อใช้งานและนำเข้าประเทศโดยไม่ต้องเสียเวลาตรวจสอบมากมายด้วย
ผู้อำนวยการใหญ่ WHO กล่าวด้วยว่า วัคซีนนี้น่าจะถูกดึงเข้ามาร่วมในโครงการโคแวกซ์ (COVAX) สำหรับแจกจ่ายประเทศสมาชิกที่เป็นประเทศรายได้ระดับปานกลางและระดับต่ำ ซึ่งกำลังประสบปัญหาขาดแคลนวัคซีนอยู่ในเวลานี้
เท่าที่ผ่านมา WHO อนุมัติวัคซีนเพื่อการใช้งานฉุกเฉินสำหรับสูตรที่พัฒนาและผลิตโดย ไฟเซอร์-ไบโอเอนเท็ค (Pfizer-BioNTech) แอสตราเซเนกา (AstraZeneca) จอห์นสัน แอนด์ จอห์สัน (Johnson & Johnson) และโมเดอร์นา (Moderna) โดยการอนุมัติล่าสุดนี้ ทำให้ วัคซีนของซิโนฟาร์ม เป็นวัคซีนสูตรแรกที่ไม่ได้มาจากประเทศตะวันตก
องค์การอนามัยโลกเปิดเผยด้วยว่า ขณะนี้ ทางคณะที่ปรึกษากำลังพิจารณาวัคซีน ซิโนแวค ของจีน สำหรับการใช้ในกรณีฉุกเฉินอยู่ และคาดว่าน่าจะมีการตัดสินใจขั้นสุดท้ายในสัปดาห์หน้าเป็นอย่างเร็ว
ขณะเดียวกัน ไฟเซอร์ ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์สัญชาติอเมริกัน เปิดเผยในวันศุกร์ว่า ทางบริษัทได้ร่วมมือกับบริษัท ไบโอเอนเท็ค จากเยอรมนี ยื่นคำร้องต่อสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) เพื่อขออนุมัติใช้วัคซีนโควิด-19 เพื่อใช้เต็มรูปแบบในสหรัฐฯ ด้วยการนำเสนอข้อมูลการทดสอบที่ใช้เวลานานกว่าเมื่อครั้งแรกแล้ว
ทั้งนี้ วัคซีนของไฟเซอร์-ไบโอเอนเท็ค เป็นสูตรแรกที่ FDA อนุมัติให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินตั้งแต่เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยอ้างอิงจากผลทดสอบด้านความปลอดภัยกับกลุ่มผู้เข้าร่วมทดลอง 44,000 คนเป็นเวลา 2 เดือน
หากได้รับการอนุมัติตามที่ขอ ไฟเซอร์-ไบโอเอนเท็ค จะกลายมาเป็นผู้ผลิตวัคซีนรายแรกที่สหรัฐฯ เปิดไฟเขียวให้มีการใช้งานมากกว่าแค่ในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งน่าจะช่วยคลายความกังวลในหมู่ประชาชนที่ไม่มั่นใจในประสิทธิภาพของวัคซีนอยู่ ทั้งยังจะเปิดโอกาสให้บริษัทสามารถทำการตลาดสำหรับกลุ่มประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป และช่วยผลักดันให้หน่วยงานภาคเอกชนและภาครัฐสั่งบังคับการฉีดยาได้ด้วย