Your browser doesn’t support HTML5
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดีเอ็นเอ ได้ช่วยค้นหาครอบครัวที่พลัดพรากจากกันมาหลายทศวรรษได้ และช่วยตอบคำถามที่ยากที่สุดในชีวิตของใครหลายคนที่ว่าลูกครึ่งไทยอเมริกันที่เกิดในช่วงสงครามเวียดนามว่า “พ่อของฉันคือใคร?”
นีธิกาญจน์ กำลังวรรณ ถ่ายทอดเรื่องราวของ 3 ลูกครึ่งไทยอเมริกัน ที่ประสบความสำเร็จในการตามหาพ่อด้วยการตรวจดีเอ็นเอ และกลับมาช่วยเหลือกลุ่มลูกครึ่งไทยอเมริกันในการตามหาพ่อที่เป็นอดีตทหารอเมริกันที่ประจำการในประเทศไทยในช่วงสงครามเวียดนาม ผ่านสารคดี Who's My Dad? เริ่มต้นที่เรื่องราวของนักแสดงไทยเชื้อสายอเมริกัน มอริส เค กับเส้นทางชีวิตในการตามหาพ่อของเขา
“ขอบคุณทุกคนมาก ๆ สำหรับวันนี้ที่ทุกคนมาร่วมอวยพรในวันเกิดปีที่ 57 ซึ่งเป็นวันเกิดที่อยู่กับครอบครัวเป็นครั้งแรกในชีวิต ผมไม่เคยมีวันเกิดกับครอบครัวเลย นี่คือครั้งแรก ประทับใจมาก แล้วก็ดีใจมาก ๆ .. ผมดีใจมากและภูมิใจมากที่ได้เกิดใน family นี้ Roberts Family I love you.”
มอริส เคเพิล โรเบิร์ตส์ หรือ มอริส เค นักแสดงลูกครึ่งไทยอเมริกัน วัย 57 ปี กล่าวอย่างตื้นตันที่ได้ฉลองวันเกิดครั้งแรกกับครอบครัวตัวเอง หลังจากใช้เวลาค่อนชีวิตเพื่อตามหา ซึ่งมอริส เค ยอมรับกับวีโอเอไทยว่า เส้นทางชีวิตกว่าจะได้เจอพ่อนั้นไม่ง่ายเลย
“เริ่มจากว่าเรามีกลุ่มเพื่อน ๆ ที่อยู่มูลนิธิ Pearl S. Buck เนี่ยนะครับ แล้วเราก็มีเพื่อน ๆ กลุ่มนึงเนี่ยก็เป็นคนที่โดน adopt มาจากเมืองไทยไปอยู่ที่อเมริกา .. เมื่อประมาณปี 18 เริ่มมีการแชร์ข้อมูลมาบอกว่า มันมีการใช้ชุดตรวจ dna สามารถที่จะตรวจได้ว่าเรามีครอบครัวเป็นคนอเมริกันแล้วก็มีคนในนั้นได้เจอพ่อของเขาเองแล้ว เราเลยบอกว่างั้นเราเองอ่ะสนใจ ช่วยเอาชุดตรวจนี้มาให้หน่อยได้ไหม”
หลังจากมอริส เค ตามหาพ่อของเขาจนเจอผ่านเทคโนโลยีชุดตรวจดีเอ็นเอ เมื่อปี 2018 และเดินทางมาสหรัฐอเมริกา เพื่อได้พบหน้าพ่อของเขาเป็นครั้งแรกเมื่อต้นปีที่ผ่านมา มอริส เค ได้ใช้เวลาตลอดหลายเดือนในอเมริกากับครอบครัวของเขา พร้อมกับทำความรู้จักกับรากเหง้าของตัวเอง
สำหรับพ่อของมอริส เค ไอเซยาห์ โรเบิร์ตส์ (Isaiah Roberts) วัย 84 ปี อดีตทหารอเมริกันที่ประจำการในไทยช่วงสงครามเวียดนามช่วงปี 1964 บอกว่านี่คือเรื่องที่น่าประหลาดใจที่เต็มไปด้วยความสุขใจ
ไอเซยาห์ เล่าให้วีโอเอฟังด้วยว่า เขาไม่รู้มาก่อนว่ามีมอริส ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าจะมีลูกอยู่ที่เมืองไทย เขาไม่ทราบมาก่อนจนกระทั่งมอริสติดต่อไปและดีใจที่เขาตามหา และว่าคนเราไม่อาจชดเชยในสิ่งที่พลาดไปได้ เพราะเขาไม่รู้ว่ามีมอริสมาก่อน แต่ก็พร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยกันจากจุดนั้น
ท็อด โรเบิร์ตส์ (Tod Roberts) น้องชายคนเล็กของครอบครัว บอกกับวีโอเอว่า ตอนที่เห็นภาพแรกของมอริสเทียบกับพ่อ เขาเชื่อทันทีว่าใช่พี่ชายเขาแน่ ๆ
เบลินดา โรเบิร์ตส์-โคเอน (Belinda Roberts-Cohen) พี่สาวคนโตของมอริส เค บอกว่า การเจอกันครั้งแรกเป็นเรื่องง่ายดายมากสำหรับมอริส มอริสมีสิ่งที่เหมือนพ่อและสมาชิกคนอื่น ๆ ในตระกูลนอกจากหน้าตา คือ ความสนุกสนานและบุคลิกที่ทำให้คนรอบข้างรู้สึกสบายใจที่อยู่ใกล้ และเธอชอบการมีน้องชายอีกคน เพราะมันคือความอบอุ่นใจและความรู้สึกรักและผูกพันที่มีให้แก่กัน
โรดริเกซ โรเบิร์ตส์ (Rodriguez Roberts) พี่ชายของมอริส เค บอกว่า แม้ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องราวชีวิตของมอริสทั้งหมด แต่เขาได้สั่งสอนลูกหลานของเขาว่า อย่าได้คิดหาข้ออ้างในการไม่ลงมือทำ ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ก้าวไปอีกขั้น เพราะมอริส คือ บทพิสูจน์ว่ามันสามารถทำได้ ไม่เพียงแต่บทพิสูจน์เท่านั้น แต่นี่คือสายเลือด นี่คือดีเอ็นเอของเรา
ไอเซยาห์ ทิ้งท้ายถึงผู้ที่อาจตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขาว่า โปรดยอมรับลูกเหมือนที่เขาทำ อย่าวิ่งหนีจากความจริง เพราะคุณไม่ได้ทำให้ตัวเองเจ็บปวด แต่กำลังทำให้ลูกเจ็บปวด และว่าเมื่อเขาออกตามหา นั่นเท่ากับว่าเขาต้องการความรัก เขาต้องการครอบครัวของเขาจริง ๆ
สำหรับมอริส เค แล้ว เส้นทางการตามหาพ่อบังเกิดเกล้าชาวอเมริกันของเขาได้เปลี่ยนชีวิตเขาไปมากมาย
“มันเปลี่ยนไปว่าคือ ความรู้สึกในการที่แบบว่าเกลียดตัวเอง เกลียดความเป็นคนผิวสีของตัวเอง ความรู้สึกที่โดนเหยียดหยามมาตลอด ความรู้สึกที่ทำให้เรารู้สึกด้อยค่ามาตลอด มันเริ่มหายไป แต่มันไม่ได้หายไปทั้งหมด มันกร่อนอยู่ในใจลึก ๆ ในใจ แต่มาวันนี้ เมื่อเดินอยู่กับพวกเขา เมื่ออยู่ในครอบครัวของเรา นี่คือคนของฉัน นี่คือสิ่งที่ฉันรอคอย นี่คือครอบครัวของฉัน ตะกอนในใจที่มันเคยกวน บางครั้งถูกกวนให้ขุ่น มันหลุดหายไป”
- รายงานโดย นีธิกาญจน์ กำลังวรรณ VOA Thai