ผลการศึกษาล่าสุดจากองค์การอนามัยโลก ชี้ว่า ยาเรมเดสซีเวียร์ หนึ่งในตัวยาที่ใช้รักษาประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ติดโควิด-19 เมื่อต้นเดือนตุลาคม แทบไม่มีผลในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 อาการรุนแรง
องค์การอนามัยโลก เปิดเผยการศึกษาที่เก็บข้อมูลจากผู้ป่วยโควิด-19 กว่า 11,000 คน ใน 30 ประเทศทั่วโลก ช่วงระยะ 6 เดือนของการระบาดของโควิด-19 พบว่า มีหลักฐานที่สรุปได้ว่า การใช้ยาเรมเดสซีเวียร์ (remdesivir) ยาไฮดรอกซีคลอโรควิน (hydroxychloroquine) ซึ่งเป็นยาต้านมาลาเรียที่ผู้นำสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้กล่าวถึงมาโดยตลอด รวมถึงการใช้กลุ่มยารักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี โลพินาเวียร์ หรือ รีโตนาเวียร์ (lopinavir/ritonavir) และกลุ่มยาอินเตอร์เฟอร์รอน (interferon) แทบไม่มีผลต่อการรักษาโควิด-19 อาการรุนแรง
การศึกษาจากองค์การอนามัยโลก สวนทางกับการทดสอบยาเรมเดสซีเวียร์ในมนุษย์จากสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ของสหรัฐฯ เมื่อเดือนเมษายนที่ชี้ว่า ยาเรมเดสซีเวียร์ ช่วยเร่งอัตราการฟื้นตัวของคนไข้โควิด-19 ที่มีอาการรุนแรง อย่างไรก็ตามการศึกษาชิ้นใหม่จากอนามัยโลก ยังไม่ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติมในตอนนี้
หลังผลวิจัยของอนามัยโลกออกมา หุ้นของบริษัทยา กิลเลียด ไซแอนเซส (Gilead Sciences) ผู้พัฒนายาเรมเดสซีเวียร์เปิดร่วงหนักในการซื้อขายเมื่อวันศุกร์ และทางบริษัทได้ออกแถลงการณ์ ระบุว่า การศึกษาของอนามัยโลกมีความขัดแย้งกับการศึกษาชิ้นก่อนๆ ที่ยืนยันถึงผลการรักษาของยาเรมเดสซีเวียร์มาแล้ว จากที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Gilead Sciences ได้เผยแพร่ผลการทดสอบขั้นสุดท้ายกับผู้คนราว 1,100 คน และยืนยันถึงประสิทธิภาพในการรักษาโควิด-19 ตามรายงานของรอยเตอร์
ทั้งนี้ ยาเรมเดสซีเวียร์ เป็นหนึ่งในตัวยาที่ใช้รักษาประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ติดโควิด-19 เมื่อต้นเดือนตุลาคม ขณะที่สหรัฐฯ ได้เก็บสำรองยาเรมเดสซิเวียร์ (remdesivir) จำนวนกว่า 500,000 โดส และล่าสุดทางสหภาพยุโรป เพิ่งลงนามสั่งซื้อยาเรมเดสซีเวียร์จำนวนหลายแสนโดส เพื่อรองรับการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ด้วยเช่นกัน