ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เสร็จสิ้นการเดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดผู้นำนานาชาติที่ญี่ปุ่น ซึ่งมีการประกาศยืนยันจุดยืนเกี่ยวกับกรณีสงครามในยูเครนและประเด็นความสัมพันธ์อันตึงเครียดกับญี่ปุ่น
หลังการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศประชาธิปไตยร่ำรวยที่สุด 7 ประเทศ หรือ จี7 ที่เมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น เป็นเจ้าภาพจัดเป็นเวลา 3 วันจบลง ปธน.ไบเดน ระบุในการแถลงข่าวในวันอาทิตย์ว่า สมาชิกจี7 จะยังคงสนับสนุนยูเครน โดยระบุว่า “เราจะไม่หวั่นไหวย่อท้อ ... [ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์] ปูตินจะไม่มีทางทำลายความมุ่งมั่นของเราดังที่เขาคิดจะทำ”
ผู้นำสหรัฐฯ ยังกล่าวด้วยว่า “ทุกประเทศในกลุ่มจี7 จะยังสนับสนุนยูเครนเสมอ ... และเราจะเดินหน้าให้กับสนับสนุนด้านมนุษยธรรมและด้านความมั่นคงให้กับยูเครน เพื่อให้ยูเครนมีความมั่นคงแข็งแกร่งตราบนานเท่านาน”
ก่อนหน้าการแถลงข่าวนี้ ปธน.ไบเดนร่วมประชุมนอกรอบกับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี และได้ประกาศมอบความช่วยเหลือทางทหารรอบใหม่ที่มีมูลค่า 375 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยยกระดับความสามารถของกรุงเคียฟในการต้านการรุกรานของรัสเซียที่ล่วงมาถึงเดือนที่ 15 แล้วด้วย
ปธน.ไบเดน กล่าวว่า ความช่วยเหลือชุดใหม่นี้จะประกอบด้วยกระสุนต่าง ๆ รวมทั้งกระสุนปืนใหญ่ และพาหนะหุ้มเกราะเพื่อช่วยกระตุ้นความสามารถทำการรบของยูเครน และสหรัฐฯ จะยังคงช่วยเหลือยูเครนตอบโต้ ปกป้องและซ่อมแซม รวมทั้งให้การสนับสนุนการสร้างสันติภาพอันเป็นส่วนหนึ่งของอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน โดยทั้งหมดนี้ คือเป้าหมายที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอันขาด
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ผู้นำสหรัฐฯ เพิ่งประกาศแผนฝึกอบรมกองทัพกรุงเคียฟในการบังคับใช้เครื่องบิน เอฟ-16 ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงท่าทีที่สหรัฐฯ พยายามรักษามาโดยตลอดในการปฏิเสธคำร้องขอจากปธน.เซเลนสกี ให้ช่วยเหลือด้านการรบทางอากาศ เนื่องจากกังวลว่า การทำเช่นนั้นอาจกลายมาเป็นการยกระดับการทำสงครามกับรัสเซีย
SEE ALSO: ไบเดนสนับสนุนแผนฝึกนักบิน F-16 ให้ยูเครน
ในประเด็นนี้ ไบเดน ระบุในการแถลงข่าวว่า ตนได้รับการยืนยันอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะจากปธน.เซเลนสกีแล้วว่า กองทัพยูเครนจะไม่ใช้เครื่องบิน เอฟ-16 เพื่อบุกเข้าไปในดินแดนของรัสเซียเป็นอันขาด แต่จะใช้สำหรับการสู้รบกับกองทหารรัสเซียในพื้นที่อาณาเขตของยูเครนเท่านั้น
นอกจากประเด็นความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซียแล้ว ปธน.ไบเดน ยังพูดถึงประเด็นความตึงเครียดระหว่างชาติตะวันตกและจีนที่มีการหารือในที่ประชุมสุดยอดผู้นำจี7 ด้วย โดยระบุว่า ความขัดแย้งระหว่างโลกตะวันตกกับจีนนั้นยังคงเป็นสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงได้อยู่
ถึงกระนั้น ไบเดนย้ำว่า ทั้งผู้นำจี7 และผู้นำประเทศหุ้นส่วนในภูมิภาคที่เกี่ยวข้องต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ควรจะต้องมีการต้านท่าทีดุดันเชิงรุกของกรุงปักกิ่ง ซึ่งรวมถึง ความน่าจะเป็นที่จีนจะใช้กำลังทหารบุกไต้หวัน
ปธน.สหรัฐฯ กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า ที่ประชุมสุดยอดจี7 “ไม่คาดว่า ไต้หวันจะทำการประกาศอิสรภาพของตนเอง แต่ก็จะเดินหน้าช่วยไต้หวันให้สามารถปกป้องตนเองได้ ขณะที่ ส่วนใหญ่ในกลุ่มพันธมิตรเข้าใจชัดเจนตรงกันว่า ถ้าหากจีนทำการ[รุกราน]ด้วยตนเอง ก็จะมีการตอบโต้เกิดขึ้น”
คำประกาศของผู้นำสหรัฐฯ ในประเด็นจีนนั้นเป็นไปในทิศทางเดียวกับคำแถลงการณ์ที่ประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มจี7 ที่วิพากษ์วิจารณ์จีนสำหรับการใช้ “อำนาจข่มขู่ทางเศรษฐกิจ” รวมทั้ง การเดินหน้าทำการต่าง ๆ ด้านการทหารในทะเลจีนใต้ และ “กิจกรรมแทรกแซงต่าง ๆ” ที่มีจุดมุ่งหมายบ่อนทำลายความปลอดภัยของนักการทูต บูรณภาพของสถาบันด้านประชาธิปไตยและความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจด้วย
อย่างไรก็ดี กรุงปักกิ่งได้ออกมาตอบโต้ท่าทีของกลุ่มจี7 ทันที โดยกล่าวหาว่า สมาชิกกลุ่มนี้กำลัง “ใช้ประเด็นเรื่องของจีนมาใส่ร้ายป้ายสีและโจมตีจีน และทำการแทรกแซงกิจการภายใต้ของจีนอย่างโจ่งแจ้ง”
แถลงการณ์จากโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ยังระบุด้วยว่า “ไต้หวัน คือ ไต้หวันของจีน ... การแก้ไขประเด็นคำถามของไต้หวันนั้น เป็นเรื่องของฝ่ายจีน เป็นเรื่องที่ต้องมีการแก้ไขโดยฝ่ายจีน”
ขณะเดียวกัน เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ก็ออกมากล่าวว่า การตัดสินใจต่าง ๆ ในที่ประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มจี7 ในเมืองฮิโรชิมานั้น “มีเป้าประสงค์ที่จะควบคุมทั้งรัสเซียและจีน”
การประชุมจตุภาคี
และในระหว่างการเยือนเมืองฮิโรชิมานี้ ปธน.ไบเดน ยังได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำจตุภาคี หรือ Quad กับผู้นำจาก ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และอินเดีย ที่มีการปรับตารางเวลาและสถานที่ จากเดิมที่มีกำหนดจัดที่นครซิดนีย์ ในสัปดาห์นี้ มาเป็นที่ญี่ปุ่น หลังผู้นำสหรัฐฯ ประกาศยกเลิกแผนการเยือนออสเตรเลีย เนื่องจากการหารือแผนขยายเพดานหนี้ภาครัฐที่กรุงวอชิงตันไม่คืบหน้า
นอกจากการหารือแผนการสนับสนุนด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านความมั่นคง ด้านสภาพภูมิอากาศ ด้านสาธารณสุขและด้านเทคโนโลยีในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ผ่านการประสานความร่วมมือจากกลุ่มต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องในภูมิภาคนี้ ที่ประชุมยังหยิบยกประเด็นสงครามในยูเครนขึ้นมาพูดคุยด้วย
นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ ซึ่งเป็นเจ้าภาพการประชุมนี้ กล่าวว่า “พฤติการณ์ที่ใช้ความรุนแรงของรัสเซียยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และบรรยากาศด้านความมั่นคงก็เผชิญสภาพความโหดร้ายรุนแรงที่สูงขึ้น ระบบระเบียบที่อ้างอิงกฎสากลระหว่างประเทศที่เสรีและเปิดกว้างก็กำลังเผชิญภัยคุกคามด้วย”
อย่างไรก็ตาม ชีลา สมิธ นักวิชาการอาวุโสด้านเอเชีย-แปซิฟิกศึกษาจาก Council on Foreign Relations ให้ความเห็นว่า แม้ว่านายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ในฐานะ 1 ใน 4 ผู้นำประเทศกลุ่ม Quad ยังคงแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับการประณามรัสเซียของกลุ่มอยู่ดี การที่ผู้นำอินเดียยังคงมีส่วนร่วมในกลุ่มยังช่วยให้จตุภาคีนี้มีบทบาทที่สำคัญในเวทีโลกอยู่
ขณะที่ ซูซาน โลฟตัส นักวิชาการจาก Quincy Institute กล่าวว่า การที่เมืองฮิโรชิมาเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดผู้นำจี7 และกลุ่ม Quad นี้ เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดแจ้งไปยังรัสเซียและจีน พร้อมคาดด้วยว่า จากนี้ไป จะมี “การมุ่งเผชิญหน้ามากขึ้นระหว่างชาติตะวันตก และจีนและรัสเซีย” โดยต่างจะพยายามช่วงชิงการมีอิทธิพลในภูมิภาคละตินอเมริกา แอฟริกา เอเชียและโอเชียเนีย หรือ Global South ให้ได้
- ข้อมูลบางส่วนมาจากรอยเตอร์