แม้ว่าการหาเสียงของคามาลา แฮร์ริส และโดนัลด์ ทรัมป์ จะไม่หยิบยกประเด็นทางเพศขึ้นมาเป็นแก่นสารของการรณรงค์ เหมือนการหาเสียงเลือกตั้งผู้นำสูงสุดของฮิลลารี คลินตันในอดีต แต่องค์ประกอบที่รายล้อมทั้งสองในหลายแง่มุมกำลังแสดงให้เห็นมิติด้านเพศสภาพที่มีผลต่อทัศนคติของผู้ลงคะแนนเสีย
ในฝั่งเดโมแครต แฮร์ริสซึ่งเป็นรองประธานาธิบดีหญิงคนแรกของประเทศ ร่วมเวทีการเมืองครั้งนี้กับผู้ว่าการรัฐมินนิโซตา ทิม วอลซ์ โดยมี ดัก เอมฮอฟฟ์ ผู้เป็นสามีรับหน้าที่คู่สมรสผู้สนับสนุนแฮร์ริส ซึ่งที่ผ่านมามักเป็นบทบาทที่ทางของสตรีเพศ
ผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตหลายคนระบุว่า วอลซ์และเอมฮอฟฟ์ คือ ตัวอย่างของนิยามคำว่า ‘ความเป็นชายแบบที่เป็นคุณ (tonic masculinity)’ ซึ่งเป็นคำตรงกันข้ามกับคำว่า toxic masculinity หรือ ‘ความเป็นชายแบบเป็นพิษ’ ที่นิยามความหมายและบทบาทของความเป็นชายในทางที่ไปลดทอนคุณค่าของเพศอื่น ๆ
ขณะเดียวกัน ทรัมป์ ตัวแทนชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน อธิบายตัวเองว่าเป็น “นักรบ” และเจดี แวนซ์ คู่หูในการเลือกตั้งครั้งนี้ก็นำภาพลักษณ์ดังกล่าวไปหาเสียง
แวนซ์กล่าวว่า “พวกเรามีโอกาสเพียงครั้งเดียวที่จะเลือกบุรุษผู้พิสูจน์แล้วว่ายิ่งใหญ่เกินไปสำหรับระบบราชการในแบบ ‘รัฐซ้อนรัฐ’ หรือ deep state เขาแข็งแกร่งเกินไปสำหรับเผด็จการทั่วโลก เขาแข็งแกร่งเกินไปสำหรับกระสุนของมือสังหาร”
ทั้งนี้ การสื่อสารทางการเมืองของทรัมป์และแวนซ์นั้นเอียงไปในทิศทางของความเป็นชายในแบบดั้งเดิม
คริสทีน เอมบา ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับประเด็นด้านเพศ กล่าวกับวีโอเอผ่านระบบสไกป์ ว่า ในแนวคิดที่ว่าผู้ชายต้องมีบทบาทผู้นำและตัดสินใจ จะมีชายประเภทที่ถูกมองว่าเป็นผู้แข็งแกร่ง เป็นประเภทที่ควบคุมครอบครัวในแบบที่ผู้ชายเป็นผู้ปกครอง
ในฝั่งเดโมแครต ผู้ชายแบบทิม วอลซ์ มีภาพลักษณ์ในทางตรงกันข้าม ด้วยปูมหลังที่เป็นโค้ชอเมริกันฟุตบอล ผู้ชื่นชอบการล่าสัตว์ เคยรับราชการทหาร และต่อมาทำคลิปแนะนำการซ่อมบ้านและซ่อมรถ
แต่เมื่อมาถึงประเด็นเสรีภาพในการเจริญพันธุ์ซึ่งเป็นประเด็นหลักสำหรับผู้เลือกพรรคนี้ วอลซ์เลือกที่จะสื่อสารสู่สาธารณะด้วยประสบการณ์ภาวะมีบุตรยากของเขาและภรรยา
วอลซ์กล่าวว่า “เกว็นและผมใช้เวลาหลายปี แต่เราก็เข้าถึงการรักษาเพื่อการมีบุตรจนได้ และเมื่อลูกสาวของเราเกิดมา เราตั้งชื่อเธอว่าโฮป (ความหวัง)”
ท่าทีในแบบเปิดกว้างและเผยจุดเปราะบางของวอลซ์สวนทางกับภาพของความแข็งแกร่งและทรงอิทธิพลที่ทรัมป์และแวนซ์นำเสนอ
โพลสำรวจความคิดเห็นบ่งชี้ว่า แฮร์ริสมีคะแนนนิยมในหมู่เพศหญิง ส่วนเพศชายมีแนวโน้มจะนิยมทรัมป์มากกว่า แต่ในหมู่ฐานเสียงอายุน้อย จะเห็นช่องว่างระหว่างเพศนี้ชัดกว่าเพศอื่น
ปัจจัยที่ทำให้เกิดสภาวการณ์เช่นนี้อาจมาจากความกังวลในสังคมถึงบทบาททางเพศที่กำลังเปลี่ยนไป หลังกระแสกลุ่มสตรีนิยมหรือเฟมินิสต์ต้องการเปลี่ยนแปลงวิถีสังคมที่เพศชายมีอำนาจมากกว่าเพศหญิง ซึ่งแง่หนึ่งก็อาจเป็นผลให้ผู้ชายจำนวนหนึ่งรู้สึกแปลกแยก
เคลลี ดิทมาร์ ผู้อำนวยการด้านวิจัยจากศูนย์ Center for American Women and Politics มหาวิทยาลัยรัทเกอร์ กล่าวกับวีโอเอผ่านระบบสไกป์ว่า “มันมีบรรยากาศของความรู้สึกที่ว่าความเป็นชายของพวกเขานั้นถูกทำให้สั่นคลอน และพวกเขาจำเป็นต้องเน้นย้ำและทวงคืนอำนาจนั้นที่ถูกคุกคามหรือหลุดหายไป”
ไม่เพียงเท่านั้น สัดส่วนของประชากรผิวไม่ขาวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงเงื่อนไขทางเศรษฐกิจที่ให้ความสำคัญกับงานดิจิทัลมากกว่าแรงงานแบบดั้งเดิมก็อาจเป็นปัจจัยที่ส่งให้ฐานเสียงผิวขาวต้องออกมาสนับสนุนทรัมป์
แฮงค์ ไชน์คอฟ ผู้ให้คำปรึกษาด้านการเมือง กล่าวว่า “ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันกำลังคุกคามผู้ชายผิวขาวจำนวนมากที่พูดว่า ‘เดี๋ยวก่อน ฉันต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อปกป้องสิ่งที่ฉันรู้’ และสิ่งที่พวกเขารู้คือสิ่งที่โดนัลด์ ทรัมป์ พูดถึง”
- ที่มา: วีโอเอ