Your browser doesn’t support HTML5
ก้าวสำคัญของเวียดนามเมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ ที่สำนักงานการบินแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ FAA ประกาศให้เวียดนามมีอันดับความปลอดภัยของสายการบิน เป็นประเภท 1 หรือผ่านมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินระดับสากล ยังผลให้สายการบินของเวียดนามสามารถให้บริการเที่ยวบินตรงไปสหรัฐและใช้รหัสเที่ยวบินร่วมกับสายการบินของสหรัฐได้เป็นครั้งแรก
สื่อท้องถิ่นของเวียดนาม Nhan Dah รายงานว่า ความสำเร็จที่เกิดขึ้น มาจากความพยายามของเวียดนาม ที่เล็งเห็นความสำคัญของตลาดสหรัฐฯ จึงพยายามผลักดันให้สายการบินของเวียดนามผ่านมาตรฐาน FAA มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 จนผ่านมาตรฐานในอีก 7 ปีให้หลัง
นักวิเคราะห์ต่างมองถึงการยกระดับมาตรฐานการบิน ว่ามีความหมายอย่างยิ่งต่อเวียดนามในหลายมิติ เพราะเปรียบเสมือนการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและเวียดนาม ที่ใกล้ชิดกันมากที่สุดนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเวียดนาม
นอกเหนือจากประเด็นมาตรฐานการบิน ยังมีท่าทีของสหรัฐฯ ที่ไม่มีมาตรการตอบโต้ใดๆ ในการแก้ปัญหาขาดดุลการค้ากับเวียดนาม ที่สหรัฐฯขาดดุลอยู่ราว 29,300 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้วด้วย ยิ่งสะท้อนว่าสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับอดีตศัตรูในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประเทศนี้อย่างชัดเจน
ไท่ วาน ปิง อาจารย์ด้านธุรกิจระหว่างประเทศ ที่เชี่ยวชาญกิจการของเวียดนาม จากมหาวิทยาลัย เฉิง จิว ในไต้หวัน มองว่า ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างเวียดนามและสหรัฐฯ ยกระดับขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะที่เวียดนามก็รักษาระดับความสัมพันธ์กับจีน ในการค้าขายอย่างเสรีกับมหาอำนาจฝั่งเอเชีย นอกจากนี้ เวียดนามยังค่อนข้างเนื้อหอมสำหรับต่างชาติในแง่เศรษฐกิจและการลงทุน
นอกจากนี้เวียดนามได้ประโยชน์จากรวมกลุ่มประชาคมอาเซียน และเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เวียดนามได้เข้าร่วมเป็น 1 ใน 11 ประเทศที่ลงนามข้อตกลงการค้าเสรี CPTPP ที่ไม่มีสหรัฐฯเข้าร่วม และคาดว่าทางสหภาพยุโรปก็เตรียมให้สัตยาบันรับรองข้อตกลงการค้าทวิภาคีร่วมกับเวียดนามด้วย
เรื่องนี้สอดคล้องกับข้อมูลจาก Boston Consulting ที่ระบุว่า การลงทุนจากต่างชาติในภาคการผลิตของเวียดนาม คือ ฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจเวียดนามให้เติบโตราว 6-7 เปอร์เซนต์ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 เป็นต้นมา ซึ่งปัจจัยนี้จะหนุนให้เวียดนามมีประชากรรายได้ระดับปานกลางเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 3 ของประชากร 93 ล้านคนภายในปีหน้า และส่งผลสืบเนื่องให้ชาวเวียดนามที่อยู่ดีกินดีขึ้นจะหันมาใช้จ่ายเพื่อการเดินทางผ่านทางอากาศยานมากขึ้นด้วย
เมื่อปี ค.ศ. 2017 อุตสาหกรรมการบินของเวียดนาม มีผู้โดยสารใช้บริการ 94 ล้านคน โดย 13 ล้านคนในนั้นเป็นชาวต่างชาติ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี ค.ศ. 2016 ถึง 16 เปอร์เซนต์ ขณะที่อุตสาหกรรมการบินภายในประเทศของเวียดนามเติบโตขึ้นราว 17.4 เปอร์เซนต์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และเวียดนามจะขึ้นแท่นเป็นประเทศที่มีตลาดการบินเติบโตมากเป็นอันดับ 5 ของโลก ภายในปี ค.ศ. 2035 หรือในอีก 16 ปีข้างหน้าด้วย
แม้ว่าปัจจุบันเวียดนามยังไม่มีสายการบินตรงกับสหรัฐฯมาก่อน แต่การเปิดเส้นทางประวัติศาสตร์นี้ อาจเป็นช่องทางสำคัญในการดึงนักลงทุนจากสหรัฐฯเข้ามาเยือนเวียดนามมากขึ้น รวมทั้งดึงตลาดการบินของชาวอเมริกันเชื้อสายเวียดนามที่จะเดินทางกลับภูมิลำเนา
จากข้อมูลของสถาบันนโยบายผู้อพยพ ที่ระบุว่า ปัจจุบันมีชาวเวียดนามที่อาศัยอยู่ในอเมริการาว 1.3 ล้านคน ซึ่งเชื่อว่าเส้นทางบินตรงนี้จะทำให้เวียดนามเป็นจุดหมายปลายทางด้านการบินแห่งใหม่ที่น่าสนใจจากสหรัฐฯ โดยไม่จำเป็นต้องแวะต่อเครื่องหรือพักที่เกาะฮ่องกง และกรุงไทเปของไต้หวันอีกต่อไป