สหรัฐเตรียมนำเทคโนโลยีสื่อสารระหว่างรถยนต์ (V2V) มาใช้ในสามปี เพื่อลดอุบัติเหตุบนท้องถนน

Your browser doesn’t support HTML5

สหรัฐเตรียมนำระบบการสื่อสารไร้สายระหว่างรถยนต์ V2V มาใช้ใน 3 ปี

Your browser doesn’t support HTML5

V2V


สำนักงานความปลอดภัยด้านการจราจรบนทางด่วนของสหรัฐหรือ NHTSA กำลังพิจารณาอนุมัติระบบการสื่อสารระหว่างรถยนต์ที่เรียกว่า V2V ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุได้ถึง 80% โดยมีแผนนำมาใช้ในอีก 3 ปี

ระบบ V2V นี้คือการส่งข้อมูลระหว่างรถยนต์ผ่านระบบไร้สายในทุก 10 วินาทีเพื่อบอกถึงระดับความเร็ว ตำแหน่งอัตราเร่ง และระยะเบรค โดยจะมีการส่งสัญญาณหรือข้อความเตือนจากระยะ 300 เมตรก่อนที่จะถึงจุดอันตราย เพื่อให้ผู้ขับขี่รถยนต์แต่ละคันสามารถหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายขึ้น โดยผู้ขับขี่จะสามารถได้ยินสัญญาณเตือนและยังอ่านข้อความเตือนบนหน้าจอที่ติดอยู่บนคอนโซลของรถคันนั้น นอกจากนี้ยังมีระบบสั่นเตือนตรงที่นั่งคนขับด้วย

คุณ Greg WinFree แห่งกระทรวงคมนาคมสหรัฐ เชื่อว่าเทคโนโลยีใหม่นี้จะช่วยเปลี่ยนแปลงวิธีที่ผู้ขับขี่รถยนต์ทั่วไปรับมือกับอุบัติเหตุบนท้องถนน และระบุว่าช่วง 50 ปีที่ผ่านมาของการพัฒนาความปลอดภัยบนท้องถนนนั้น มุ่งเน้นไปที่มาตรการหรือโอกาสที่จะทำให้มีผู้รอดชีวิตจากอุบัติเหตุได้มากที่สุด แต่จากนี้ต่อไป ด้วยเทคโนโลยี V2V เรากำลังพูดถึงการพยายามทำให้อุบัติเหตุไม่เกิดขึ้น ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ

ถึงกระนั้น แม้นักวิจารณ์ส่วนใหญ่เห็นดีด้วยกับเทคโนโลยีนี้ แต่ก็ยังมีข้อกังวลบางอย่าง เช่นว่าเทคโนโลยี V2V อาจทำให้เกิดความสับสนของเครือข่ายไร้สายในบริเวณนั้น เนื่องจาก V2V ต้องใช้ช่องสัญญาณเดียวกับอุปกรณ์ไร้สายอีกหลายประเภท
คุณ Scott Belcher แห่งกลุ่มที่มีชื่อว่า Intelligent Transportation Society of America ชี้ว่าเทคโนโลยีนี้อาจไม่สามารถช่วยหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุได้ หากมีการแย่งใช้ช่วงความถี่เดียวกันมากเกินไป และยังกังวลถึงเรื่องการละเมิดความเป็นส่วนตัว เพราะเทคโนโลยี V2V อาจถูกใช้ในการติดตามผู้ขับขี่รถยนต์บางคน และเป็นหลักฐานเกี่ยวกับพฤติกรรมการขับขี่ของคนๆ นั้นได้

ปัจจุบัน หน่วยงานรัฐบาลและบริษัทเอกชนหลายแห่งต่างกำลังลงทุนมูลค่าหลายร้อยล้านดอลล่าร์ในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารระหว่างรถยนต์ และคาดว่าภายในปี ค.ศ 2017 หรืออีก 3 ปี รัฐบาลสหรัฐอาจกำหนดให้รถทุกคันในอเมริกาต้องติดตั้งเทคโนโลยีนี้ ด้วยความหวังว่าเมื่อถึงเวลานั้น การจราจรบนไฮเวย์จะไม่อันตรายถึงขั้นเสี่ยงตายอีกต่อไป

รายงานจากห้องข่าว VOA / เรียบเรียงโดยทรงพจน์ สุภาผล