นักวิเคราะห์ชี้ นโยบายช่วยคนว่างงานของไบเดน อาจทำให้คนอเมริกันเลิกหางานมากขึ้น

FILE - A woman walks past the signs of an employment agency, in Manchester, N.H., March 2, 2021.

Your browser doesn’t support HTML5

Business News


สถิติตัวเลขผู้ที่กลับเข้าสู่ตลาดแรงงานสหรัฐฯ อีกครั้งในเดือนเมษายนที่เพียง 266,000 คน แทนที่จะสูงถึงระดับ 1 ล้านคนอย่างที่มีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า ทำให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งข้อสังเกตว่า นโยบายช่วยเหลือคนว่างงานของรัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน อาจเป็นสาเหตุทำให้ประชาชนไม่สนใจหางานทำในช่วงที่ผ่านมา

ภายใต้แผนช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 รอบล่าสุด รัฐบาลกรุงวอชิงตันอนุมัติเงินช่วยเหลือผู้ว่างงานให้อีกสัปดาห์ละ 300 ดอลลาร์ต่อราย ซึ่งเป็นส่วนเพิ่มเติมจากเงินช่วยเหลือที่รัฐบาลแต่ละรัฐมอบให้อยู่แล้ว พร้อมขยายสวัสดิการสำหรับผู้ว่างงานในส่วนอื่นๆ ด้วย

USA, Washington, U.S. President Joe Biden points a finger as he delivers remarks on the April jobs report

เมื่อพิจารณาสถิติผู้กลับเข้าทำงานใหม่ที่กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยออกมา ควบคู่กับ รายงานล่าสุดจากสำนักงานสถิติแรงงานของสหรัฐฯ (U.S. Bureau of Labor Statistics – BLS) ที่ชี้ว่า มีตำแหน่งงานเปิดใหม่ถึง 8.1 ล้านตำแหน่งทั่วประเทศ ณ สิ้นเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่มีการเริ่มเก็บตัวเลขมาในปี ค.ศ. 2000 หลายคนเริ่มเชื่อมากขึ้นว่า ประชาชนจำนวนไม่น้อยเลือกจะไม่ออกไปหางานทำและอยู่บ้านรับสวัสดิการดีกว่า

ในเวลานี้ กลุ่มธุรกิจต่างๆ เช่น หอการค้าสหรัฐฯ ได้ออกมาโทษนโยบายขยายสวัสดิการคนว่างงานของรัฐบาลปธน.ไบเดน ว่า เป็นเหมือน “การจ้างคนไม่ให้ออกไปทำงาน” แล้ว

แม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่า ความเห็นของภาคเอกชนที่ว่านี้เป็นความจริงมากเพียงใด นักการเมืองทั้งระดับรัฐและระดับชาติหลายรายเริ่มส่งเสียงสนับสนุนคำกล่าวโทษดังกล่าวบ้างแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากสมาชิกสภาคองเกรสสังกัดพรรครีพับลิกัน ที่ออกมาประณามรัฐบาลและเรียกร้องให้มีการยุตินโยบายช่วยเหลือคนว่างงานล่าสุดนี้โดยทันทีแล้ว

อย่างไรก็ดี ยังมีผู้ที่สนับสนุนแผนช่วยคนว่างงานของรัฐบาลปธน.ไบเดนอยู่ อาทิ เคท บาห์น ผู้อำนวยการด้านนโยบายตลาดแรงงานของ ศูนย์ Washington Center for Equitable Growth ที่ย้ำว่า ขณะที่สหรัฐฯ ยังอยู่ท่ามกลางภาวการณ์ระบาดใหญ่ของโควิด-19 อยู่นี้ การเสนอความคิดที่จะให้ยกเลิกสวัสดิการว่างงาน เพียงเพื่อผลักดันให้คนออกไปสมัครงานมากขึ้นนั้นเป็น “การบังคับให้คนกลับเข้าทำงานในสภาวะที่ยังไม่ปลอดภัย” มากกว่า