นักวิเคราะห์เศรษฐกิจสหรัฐกล่าวว่า การปิดทำการบางส่วนของรัฐบาลสหรัฐ ก่อความสูญเสียให้กับเศรษฐกิจของประเทศ คิดเป็นมูลค่าอย่างน้อยสองหมื่นสี่พันล้านดอลล่าร์ และว่าข้อตกลงชั่วคราวที่ออกมาจากรัฐสภา ยืดเวลาความไม่แน่นอนในนโยบายการคลังของประเทศออกไปอีก ซึ่งอาจก่อผลเสียให้กับเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นต่อไปอีก
ประธานาธิบดี Barack Obama กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า ภาวะชงักงันในเรื่องงบประมาณแผ่นดินและเพดานหนี้ของรัฐบาล จนต้องมีการปิดทำการของรัฐบาลบางส่วน ทำความเสียหายโดยไม่จำเป็นแก่เศรษฐกิจของประเทศ
ปธน. สหรัฐ กล่าวว่า ในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์ดังกล่าวทำความเสียหายโดยไม่จำเป็นแก่เศรษฐกิจของประเทศ และว่าในขณะนี้ ยังไม่ทราบถึงความเสียหายทั้งหมด แต่นักวิเคราะห์ทุกคนเชื่อว่า ความเสียหายที่ว่านี้ ชลอการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
สำนักจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงิน Standard & Poor’s ให้ตัวเลขประมาณความเสียหายนี้ออกมาแล้วว่า อย่างน้อยเป็นมูลค่าสองหมื่นสี่พันล้านดอลล่าร์ หรือราวๆ หนึ่งพันห้าร้อยล้านดอลล่าร์ต่อวัน และชลอการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในไตรมาสที่สี่ของปีนี้ลงจากที่คาดไว้ 3% มาเป็น 2.4%
Standard & Poor’s ให้รายละเอียดของการประมาณการนี้ไว้ด้วยว่า ราวๆ 3.1 พันล้านดอลล่าร์มาจากการที่รัฐบาลเลิกให้บริการต่างๆ ในขณะที่สมาคมการท่องเที่ยวระบุตัวเลขการสูญเสียไว้วันละ 152 ล้านดอลล่าร์ สำนักงานสวนสาธารณะแห่งชาติกล่าวว่า สูญเสียรายได้จากการปิดสวนสาธารณะและวนอุทยานทั่วประเทศ วันละ 76 ล้านดอลล่าร์ ส่วนเจ้าหน้าที่รัฐบาลและผู้รับเหมางานกับรัฐบาลสูญเสียค่าจ้างแรงงานรวมแล้ว วันละ 217 ล้านดอลล่าร์
แต่ที่ประเมินไม่ได้คือการสูญเสียของธุรกิจขนาดย่อม ที่ธนาคารพาณิชย์ไม่ยอมปล่อยเงินกู้ หรือที่มีสัญญารับเหมางานกับรัฐบาล แม้จะกลับมาทำงานเมื่อรัฐบาลเปิดทำการ ก็จะไม่ได้รับค่าจ้างแรงงานในช่วงที่รัฐบาลปิดทำการ ไม่เหมือนเจ้าหน้าที่รัฐบาลที่จะได้รับเงินเดือนย้อนหลัง
นอกจาก Standard & Poor’s แล้ว Moody’s สำนักจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินอีกแห่งหนึ่ง เปิดเผยตัวเลขมูลค่าความสูญเสียที่ใกล้เคียงกันออกมาในวันเดียวกันนี้ด้วย
นักวิเคราะห์เตือนไว้ด้วยว่า ข้อตกลงของรัฐสภาครั้งนี้ เป็นข้อตกลงชั่วคราวเท่านั้น งบประมาณแผ่นดินจัดสรรเงินให้รัฐบาลใช้จนถึงวันที่ 15 มกราคม ศกหน้า และเพิ่มเพดานหนี้ให้กับรัฐบาลกู้เงินมาใช้จ่ายได้จนถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ศกหน้าเช่นเดียวกัน
Standard & Poor’s กล่าวว่า ข้อตกลงระยะสั้นนี้อาจส่งผลกระทบความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลตั้งแต่ Thanksgiving, Christmas ไปจนถึงปีใหม่ ซี่งปกติแล้วเป็นเวลาที่ผู้คนจะจับจ่ายใช้สอยกันมาก แต่เมื่อขาดความเชื่อมั่น ผู้บริโภคก็ไม่อยากจะใช้จ่ายเงิน
นักเศรษฐศาสตร์ Joel Prakken ของ Macroeconomic Advisers กล่าวว่า สหรัฐซวนเซจากวิกฤติการเงินหนึ่งไปสู่อีกวิกฤติการเงินหนึ่งมาตั้งแต่ปลายปี ค.ศ. 2009 และประมาณว่า ทำให้เศรษฐกิจของประเทศลดอัตราการเติบโตลงในอัตราปีละราวๆ 1% นอกจากนี้รัฐบาลสหรัฐยังต้องเพิ่มเพดานหนี้อีกหลายครั้ง เพราะรายได้ไม่เท่ากับรายจ่าย
นักเศรษฐศาสตร์ผู้นี้ให้ความเห็นส่ง้ทายว่า ปัญหาเรื่องงบประมาณรัฐบาลนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการบริหารประเทศ หากแต่เกี่ยวกับความคิดเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องบทบาทของรัฐบาลในชีวิตของคนอเมริกัน ว่ารัฐบาลกลางควรจะมีขนาดใหญ่แค่ไหน และควรจะมีหน้าที่และความรับผิดชอบในเรื่องอะไรบ้าง
ประธานาธิบดี Barack Obama กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า ภาวะชงักงันในเรื่องงบประมาณแผ่นดินและเพดานหนี้ของรัฐบาล จนต้องมีการปิดทำการของรัฐบาลบางส่วน ทำความเสียหายโดยไม่จำเป็นแก่เศรษฐกิจของประเทศ
ปธน. สหรัฐ กล่าวว่า ในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์ดังกล่าวทำความเสียหายโดยไม่จำเป็นแก่เศรษฐกิจของประเทศ และว่าในขณะนี้ ยังไม่ทราบถึงความเสียหายทั้งหมด แต่นักวิเคราะห์ทุกคนเชื่อว่า ความเสียหายที่ว่านี้ ชลอการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
สำนักจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงิน Standard & Poor’s ให้ตัวเลขประมาณความเสียหายนี้ออกมาแล้วว่า อย่างน้อยเป็นมูลค่าสองหมื่นสี่พันล้านดอลล่าร์ หรือราวๆ หนึ่งพันห้าร้อยล้านดอลล่าร์ต่อวัน และชลอการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในไตรมาสที่สี่ของปีนี้ลงจากที่คาดไว้ 3% มาเป็น 2.4%
Standard & Poor’s ให้รายละเอียดของการประมาณการนี้ไว้ด้วยว่า ราวๆ 3.1 พันล้านดอลล่าร์มาจากการที่รัฐบาลเลิกให้บริการต่างๆ ในขณะที่สมาคมการท่องเที่ยวระบุตัวเลขการสูญเสียไว้วันละ 152 ล้านดอลล่าร์ สำนักงานสวนสาธารณะแห่งชาติกล่าวว่า สูญเสียรายได้จากการปิดสวนสาธารณะและวนอุทยานทั่วประเทศ วันละ 76 ล้านดอลล่าร์ ส่วนเจ้าหน้าที่รัฐบาลและผู้รับเหมางานกับรัฐบาลสูญเสียค่าจ้างแรงงานรวมแล้ว วันละ 217 ล้านดอลล่าร์
แต่ที่ประเมินไม่ได้คือการสูญเสียของธุรกิจขนาดย่อม ที่ธนาคารพาณิชย์ไม่ยอมปล่อยเงินกู้ หรือที่มีสัญญารับเหมางานกับรัฐบาล แม้จะกลับมาทำงานเมื่อรัฐบาลเปิดทำการ ก็จะไม่ได้รับค่าจ้างแรงงานในช่วงที่รัฐบาลปิดทำการ ไม่เหมือนเจ้าหน้าที่รัฐบาลที่จะได้รับเงินเดือนย้อนหลัง
นอกจาก Standard & Poor’s แล้ว Moody’s สำนักจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงินอีกแห่งหนึ่ง เปิดเผยตัวเลขมูลค่าความสูญเสียที่ใกล้เคียงกันออกมาในวันเดียวกันนี้ด้วย
นักวิเคราะห์เตือนไว้ด้วยว่า ข้อตกลงของรัฐสภาครั้งนี้ เป็นข้อตกลงชั่วคราวเท่านั้น งบประมาณแผ่นดินจัดสรรเงินให้รัฐบาลใช้จนถึงวันที่ 15 มกราคม ศกหน้า และเพิ่มเพดานหนี้ให้กับรัฐบาลกู้เงินมาใช้จ่ายได้จนถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ศกหน้าเช่นเดียวกัน
Standard & Poor’s กล่าวว่า ข้อตกลงระยะสั้นนี้อาจส่งผลกระทบความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลตั้งแต่ Thanksgiving, Christmas ไปจนถึงปีใหม่ ซี่งปกติแล้วเป็นเวลาที่ผู้คนจะจับจ่ายใช้สอยกันมาก แต่เมื่อขาดความเชื่อมั่น ผู้บริโภคก็ไม่อยากจะใช้จ่ายเงิน
นักเศรษฐศาสตร์ Joel Prakken ของ Macroeconomic Advisers กล่าวว่า สหรัฐซวนเซจากวิกฤติการเงินหนึ่งไปสู่อีกวิกฤติการเงินหนึ่งมาตั้งแต่ปลายปี ค.ศ. 2009 และประมาณว่า ทำให้เศรษฐกิจของประเทศลดอัตราการเติบโตลงในอัตราปีละราวๆ 1% นอกจากนี้รัฐบาลสหรัฐยังต้องเพิ่มเพดานหนี้อีกหลายครั้ง เพราะรายได้ไม่เท่ากับรายจ่าย
นักเศรษฐศาสตร์ผู้นี้ให้ความเห็นส่ง้ทายว่า ปัญหาเรื่องงบประมาณรัฐบาลนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการบริหารประเทศ หากแต่เกี่ยวกับความคิดเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องบทบาทของรัฐบาลในชีวิตของคนอเมริกัน ว่ารัฐบาลกลางควรจะมีขนาดใหญ่แค่ไหน และควรจะมีหน้าที่และความรับผิดชอบในเรื่องอะไรบ้าง