เหตุการณ์ความรุนแรงจากการใช้ปืนในโรงเรียนสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้น

Student survivors from Marjory Stoneman Douglas High School bow their heads as the names of shooting victims are read, at a rally for gun-control reform on the steps of the state Capitol in Tallahassee, Fla., Feb. 21, 2018.

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ (CDC) เผยรายงานที่ระบุว่า การก่อเหตุยิงกันในโรงเรียนมีสัดส่วนน้อยกว่า 2% ของคดีฆาตกรรมในเยาวชนทั้งหมด

ในขณะที่สาเหตุหลักของการเสียชีวิตในเด็กเกิดจากอุบัติเหตุ โดยส่วนใหญ่เป็นอุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่การฆาตกรรมเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับสองในหมู่เยาวชนสหรัฐฯ ที่อายุระหว่าง 5 ถึง 18 ปี ส่วนความรุนแรงที่เกิดขึ้นโรงเรียนก็มีอัตราเพิ่มสูงขึ้น

รายงานเรื่องระบบการเฝ้าระวังการเสียชีวิตจากความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงเรียนของ CDC ชี้ว่าคดีฆาตกรรมในหมู่เยาวชนที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนยังคงมีจำนวนสูงมาก ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าลักษณะของคดีฆาตกรรมที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนหลายๆ คดี มีความคล้ายคลึงกับคดีฆาตกรรมในหมู่เยาวชนในชุมชนวงกว้าง ดังนั้นจึงควรจัดระบบป้องกันนอกโรงเรียนด้วย

CDC กล่าวว่า ในระหว่างปี พ.ศ. 2537 ถึงปี พ.ศ. 2559 มีคดีฆาตกรรมที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนจำนวน 423 คดี 90% ของจำนวนนั้นเป็นเหยื่อรายเดียวและส่วนใหญ่เป็นเพศชาย

70.4% ของคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในโรงเรียนเป็นการใช้อาวุธปืน ผู้ต้องหาหลายคนอายุต่ำกว่า 18 ปีพวกเขานำอาวุธปืนมาจากที่บ้าน หรือได้มาจากเพื่อนหรือญาติ เยาวชนที่เป็นชนกลุ่มน้อยมีความเสี่ยงสูงกว่าเด็กวัยรุ่นผิวขาว และอัตราการฆาตกรรมในหมู่เยาวชนก็สูงกว่าในเขตเมืองด้วย

การศึกษาของ CDC ระบุว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างกิจกรรมของกลุ่มแก๊งค์และข้อพิพาทระหว่างบุคคล ที่มักจะบ่งชี้ว่าการฆาตกรรมในโรงเรียนอาจสะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงในวงกว้างของชุมชนด้วย

ความรุนแรงที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตที่โรงเรียนส่วนใหญ่เกิดขึ้นก่อนหรือหลังเลิกเรียนในทันที และในช่วงเวลาพักกลางวัน และยังมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในช่วงเริ่มต้นของแต่ละภาคเรียนด้วย เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ก่อเหตุมักส่งสัญญาณเตือนบางอย่างเช่นการข่มขู่หรือทิ้งข้อความไว้ก่อนที่จะก่อเหตุ

ทั้งนี้งานด้านระบบเฝ้าระวังความปลอดภัยในโรงเรียน เป็นโครงการที่ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกา