ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ใช้อำนาจฝ่ายบริหารจัดการกับผู้ชุมนุมประท้วงที่ทำลายอนุสาวรีย์ประวัติศาสตร์ต่างๆ หลังการประท้วงในหลายจุดมุ่งเป้าไปที่สัญลักษณ์ของการเหยียดเชื้อชาติและความไม่เป็นธรรมต่อคนผิวสี
ปธน.ทรัมป์ บอกกับผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบขาวในวันอังคารตามเวลาท้องถิ่นว่า ตนจะไม่ยอมให้ใครทำลายอนุสาวรีย์ของคนอเมริกัน และพร้อมจะลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารในเร็วๆ นี้ เพื่อเสริมกำลังการรักษาความปลอดภัยมากขึ้น
นอกจากนั้น ผู้นำสหรัฐฯ ยังประกาศการให้อำนาจจับกุมผู้ใดก็ตามที่ก่อความเสียหายให้กับอนุสรณ์ของเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบใดๆ ก็ตามที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของรัฐ และขู่จะใช้กำลังกับผู้ประท้วงในกรุงวอชิงตันด้วย
ทั้งนี้ รัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีอำนาจที่สั่งปรับหรือสั่งจำคุกสูงสุด 17 ปี ผู้ที่ทำลายอนุสรณ์สถานต่างๆ ภายใต้กฎหมายที่ชื่อ Veterans Memorial Act
อดีตปธน.แจ็คสันนั้นเป็นผู้นำประเทศคนที่ 7 ซึ่งดำรงตำแหน่งระหว่างปี ค.ศ. 1829 และ ปี ค.ศ. 1837 และมีการสร้างอนุสาวรีย์ขึ้นเป็นเกียรติภายหลัง โดยเป็นรูปปั้นใส่เครื่องแบบทหารขณะนั่งอยู่บนหลังม้า โดยอดีตผู้นำสหรัฐฯ นี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากการลงนามรับรองกฎหมายบับหนึ่งเมื่อปี ค.ศ. 1830 ที่ให้อำนาจรัฐขับไล่ชนชาวพื้นเมืองอเมริกันจากพื้นที่ในเขตทางใต้ของประเทศ อันเป็นที่มาของเหตุการณ์ที่เรียกกันว่า The Trail of Tears เนื่องจากมีชนพื้นเมืองอเมริกันจำนวนมากเสียชีวิตขณะเดินทางข้ามทวีปไปฝั่งตะวันตกของประเทศ ขณะที่ตัวอดีตปธน.แจ็คสันเองมีทาสผิวสีอยู่เป็นจำนวนมากที่ไร่ในรัฐเทนเนสซี ซึ่งมีการกล่าวกันว่า มีการใช้กำลังจัดการกับเหล่าทาสถูกเสมอ
คำขู่ของปธน.ทรัมป์มีออกมากหลัง ผู้ชุมนุมในกรุงวอชิงตันพยายามล้มอนุสาวรีย์ อดีตประธานาธิบดี แอนดรูว์ แจ็คสัน ที่ตั้งอยู่ในจัตุรัส ลาฟาแยตต์ ซึ่งอยู่ติดกับทำเนียบขาวเมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะใช้ตะบองและสเปรย์พริกไทยผลักดันผู้ชุมนุมออกพื้นที่ไป
พื้นที่เกิดเหตุล่าสุดนี้ คือบริเวณเดียวกับที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังประกอบแก๊สน้ำตาและกระสุนยางเข้าสลายการชุมนุมอย่างสันติเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ก่อนที่ปธน.ทรัมป์ จะเดินผ่านจากทำเนียบขาวไปยังโบสถ์เซนตจอห์น เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวถ่ายภาพ ที่นำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมาย
ปธน.ทรัมป์ บอกผู้สื่อข่าวด้วยว่า “มีคนจำนวนมาก” ถูกจับเข้าคุกไปแล้ว เนื่องจากพยายามทำลายอนุสาวรีย์ อดีต ปธน.แจ็คสัน และระบุด้วยว่า รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพิจารณาลงโทษที่มีระยะเวลานานขึ้นอยู่