พลเอกแดเนียล โฮแคนสัน หัวหน้าหน่วยกองกำลังสำรอง ระบุในแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ว่า สมาชิกกองกำลังสำรองราว 15,000 คน จะดูแลรักษาความปลอดภัยพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของโจ ไบเดน ในวันที่ 20 มกราคมนี้
แม้กองกำลังสำรองจะดูแลความปลอดภัยในงานพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นประจำอยู่แล้วก็ตาม แต่จำนวนกองกำลังดังกล่าวก็ถือว่าเป็นจำนวนมาก เมื่อเทียบกับกองกำลังที่ดูแลความปลอดภัยในงานพิธีสาบานตนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อปีค.ศ. 2016 ที่มีกองกำลังดูแลความปลอดภัยเพียง 8,000 นายเท่านั้น
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้มีขึ้นหลังมีสัญญาณเตือนว่า อาจมีความรุนแรงเกิดขึ้นในช่วงวันก่อนวันพิธีดังกล่าว หลังเกิดเหตุการณ์บุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ โดยผู้สนับสนุนประธานาธิบดีทรัมป์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำนักงานสืบสวนกลางของสหรัฐฯ หรือ FBI ส่งบันทึกถึงสำนักงานตำรวจทั่วประเทศเมื่อวันจันทร์ โดยระบุว่ามีการวางแผนประท้วงติดอาวุธในกรุงวอชิงตันและในเมืองหลวงของรัฐต่างๆ 50 เมืองทั่วประเทศ
นอกจากนี้ กรมอุทยานแห่งชาติสหรัฐฯ (U.S. National Park Service) หรือ NPS ประกาศว่าจะปิดอนุสาวรีย์วอชิงตันตั้งแต่วันจันทร์ไปจนถึงช่วงหลังพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดความรุนแรง
NPS ระบุในแถลงการณ์บนเว็บไซต์ว่า กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม ยังคงขู่ว่าจะก่อกวนพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 20 มกราคมนี้ โดยอาจมีการปิดส่วนอื่นของลานใจกลางกรุงวอชิงตันที่เรียกว่า “เนชันแนล มอลล์” และถนนส่วนอื่นในช่วงหลายสัปดาห์หลังจากนี้ด้วย
NPS ออกประกาศดังกล่าว หลังเหตุการณ์บุกอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ทำให้เกิดคำถามถึงการรักษาความปลอดภัยในกรุงวอชิงตัน
สตีเวน ซุนด์ ผู้บังคับบัญชาการตำรวจประจำอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ที่ประกาศลาออกจากตำแหน่งแล้ว บอกกับหนังสือพิมพ์ เดอะ วอชิงตัน โพสต์ ว่า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสภาสูงและสภาล่าง ปฏิเสธคำขอของเขาให้นำทหารกำลังสำรองมาประจำการก่อนเกิดเหตุบุกอาคารรัฐสภาขึ้น โดยเขาระบุว่า หากมีกองกำลังดังกล่าวอยู่ในขณะนั้น จะสามารถควบคุมฝูงชนได้ก่อนที่เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอื่นจะเดินทางไปถึง
ซุนด์ระบุว่า ไมเคิล เสตนเกอร์ หัวหน้าตำรวจวุฒิสภา แนะนำให้เขาพูดคุยกับเจ้าหน้าที่กองกำลังสำรองอย่างไม่เป็นทางการเพื่อเตรียมกำลังพลให้พร้อม เขายังกล่าวด้วยว่า พอล เออร์วิง หัวหน้าตำรวจสภาผู้แทนราษฎร แสดงท่าทีไม่สบายใจต่อการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินล่วงหน้าก่อนการชุมนุมของผู้สนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
หนังสือพิมพ์ เดอะ วอชิงตัน โพสต์ รายงานว่า เสตนเกอร์ขอไม่ให้ความเห็นต่อประเด็นดังกล่าว และไม่สามารถติดต่อเออร์วิงเพื่อขอสัมภาษณ์ได้
โฆษกกระทรวงกลาโหมกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ตำรวจประจำอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ ไม่ได้ขอให้กองกำลังสำรองมาประจำการก่อนที่จะเกิดเหตุจลาจลขึ้น โดยเหตุการณ์นี้มีผู้เสียชีวิตห้าคน รวมทั้งตำรวจประจำอาคารรัฐสภาหนึ่งคน นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเหตุการณ์จลาจลอีกคนหนึ่งเสียชีวิตหลังการปฏิบัติหน้าที่ด้วย
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา กลุ่มผู้ประท้วงสนับสนุนประธานาธิบดีทรัมป์ที่มีจำนวนมากกว่าตำรวจมาก ได้เข้าจู่โจมอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะกลับมาควบคุมอาคารได้อีกครั้งหนึ่ง โดยตำรวจประจำอคารรัฐสภาสหรัฐฯ ต้องรอความช่วยเหลือจากกองกำลังสำรอง ตำรวจท้องถิ่น และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลกลาง
ซุนด์ สเตนเกอร์ และเออร์วิง ลาออกจากตำแหน่งหลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ท่ามกลางคำถามถึงการเตรียมการของตำรวจประจำอาคารรัฐสภาในวันเกิดเหตุ