จากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ขู่ว่าจะเพิ่มภาษีร้อยละ 5 กับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก เริ่มต้น 10 มิถุนายนนี้ และอาจเพิ่มอัตราภาษีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับร้อยละ 25 เพื่อลงโทษที่ทางการเม็กซิโกไม่สามารถใช้มาตรการสกัดกั้นกลุ่มผู้อพยพจากแถบอเมริกากลางได้
เจ้าหน้าที่เม็กซิโกและสหรัฐฯ ออกมาเตือนว่ามาตรการขึ้นภาษีกับสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก ไม่ช่วยแก้ปัญหาผู้อพยพจากอเมริกากลางเข้ามายังสหรัฐฯ อีกทั้งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของ 2 ชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยเอกอัครราชทูตเม็กซิโกประจำสหรัฐฯ มาร์ธา บาร์เซนา เตือนว่าภาษีนำเข้าจะทำให้เกิดความไร้เสถียรภาพทางการเงินและเศรษฐกิจ ซึ่งกระทบกับความสามารถในรับมือกับกระแสผู้อพยพจากกัวเตมาลา ฮอนดูรัส หรือเอลซัลวาดอร์ได้ โดยประเมินว่า หากมาตรการภาษีมีผลบังคับใช้ จะทำให้มีผู้อพยพเข้าสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีกราว 250,000 คน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรเม็กซิโก วิคเตอร์ บิยาโลบอส ระบุว่า หากสหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้ากับเม็กซิโก จะกระทบภาคเกษตรคิดเป็นมูลค่า 1,400 ล้านดอลลาร์ หรือเฉลี่ย 3.8 ล้านดอลลาร์ต่อวันทั้งกับสหรัฐฯและเม็กซิโก
ด้านนายจอห์น คอร์นิน วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันจากรัฐเท็กซัส ออกมาเตือนเช่นกันว่า มาตรการใดๆที่สหรัฐฯใช้ในการรักษาความปลอดภัยพรมแดนตอนใต้ของประเทศ จะต้องคำนึงถึงบทบาทของเม็กซิโกที่มีต่อเศรษฐกิจในพื้นที่ดังกล่าวของสหรัฐฯด้วย จากที่รัฐเท็กซัสของสหรัฐฯและเม็กซิโก มีพื้นที่พรมแดนเป็นระยะทาง 2,000 กิโลเมตร เชื่อมต่อกันด้วยสะพานและถนนข้ามประเทศ ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาความสัมพันธ์อันดีระหว่าง 2 ชาติ