สถาบันอุดมศึกษาสหรัฐฯ กังวล กรณีนักศึกษาทำ ‘บัตรวัคซีนโควิด-19’ ปลอม เพื่อเข้าชั้นเรียนปกติ

Virus Outbreak Fake Vaccine Cards

Your browser doesn’t support HTML5

US College Fake Vaccination Card


สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐฯ ที่ยังไม่นิ่ง และมีการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาไปทั่ว ทำให้สถาบันอุดมศึกษาหลายแห่งทั่วประเทศประกาศนโยบายขอตรวจหลักฐานการฉีดวัคซีนของนักศึกษาที่ต้องการจะเข้าชั้นเรียนแบบปกติแทนการเรียนออนไลน์ แต่นโยบายดังกล่าว กลับนำมาซึ่งปัญหาใหม่ที่ทำให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องหนักใจแทน

สำนักข่าว เอพี รายงานว่า การที่วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยบางแห่งในสหรัฐฯ ตัดสินใจดำเนินนโยบายเปิดชั้นเรียนแบบปกติให้นักศึกษากลับมาเรียนอีกครั้ง ภายใต้เงื่อนไขว่า จะต้องมีหลักฐานการฉีดวัคซีนโควิด-19 มาแสดงเพื่อให้ได้รับอนุญาตเข้าเรียนนั้น กลายมาเป็นช่องทางสำหรับกลุ่มที่ต่อต้านการฉีดยาในการโกงระบบนี้

เอพี อ้างถึงข้อมูลจากการสัมภาษณ์นักศึกษา เจ้าหน้าที่ของสถาบันการศึกษา และเจ้าหน้าที่ด้านรักษากฎหมาย และรายงานด้วยว่า ทุกฝ่ายที่ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยด้วยล้วนมีความกังวลว่า การปลอมแปลงบัตรวัคซีนโควิด-19 นั้นน่าจะทำได้ง่ายจริงๆ

Masked students walk through the campus of Ball State University in Muncie, Ind., Thursday, Sept. 10, 2020. College towns across the U.S. have emerged as coronavirus hot spots in recent weeks as schools struggle to contain the virus. Out of nearly…

และเมื่อผู้สื่อข่าวลองตรวจสอบหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต ก็พบว่า เกิดธุรกิจขนาดเล็กในระดับครัวเรือนขึ้นมารองรับผู้ที่ประกาศว่าจะไม่ยอมรับการฉีดวัคซีน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลส่วนตัวหรือเหตุผลทางศาสนาแล้ว

ยกตัวอย่างเช่น มีบัญชีอินสตาแกรมที่มีชื่อผู้ใช้งานว่า “vaccinationcards” เสนอขายบัตรวัคซีนโควิด-19ที่เคลือบพลาสติกเรียบร้อยแล้วในราคาเพียง 25 เซนต์ ขณะที่ ผู้ใช้งานแอป “เทเลแกรม” (Telegram) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มส่งข้อความที่มีการเข้ารหัสไว้ เสนอขาย “ใบสำคัญบัตรวัคซีนโควิด-19” ในราคาใบละ 200 ดอลลาร์ เป็นต้น

รายงานข่าวระบุว่า ผู้ติดต่อเข้ามายังแพลตฟอร์มเหล่านี้ และแอปอื่นๆ ที่คล้ายๆ กันที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนจะเป็นกลุ่มที่ต้องการบัตรวัคซีนปลอมเพื่อใช้งานในชั้นเรียนเป็นหลัก

จากการรวบรวมสถิติโดย The Chronicle of Higher Education มีมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยอย่างน้อย 675 แห่งที่ออกคำสั่งขอตรวจสอบหลักฐานการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว ขณะที่กระบวนการยืนยันการฉีดวัคซีนในหลายแห่งจะไม่ยุ่งยากเท่าไหร่ โดยเพียงขอให้นักศึกษาอัพโหลดภาพของบัตรวัคซีนขึ้นเว็บภายในสำหรับนักศึกษาก็เพียงพอแล้ว

แต่บางแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์ ในเมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี เจ้าหน้าที่จะสั่งระงับการลงทะเบียนของนักศึกษาแต่ละคนจนกว่าจะตรวจสอบหลักฐานการฉีดวัคซีนเรียบร้อยแล้ว ยกเว้นกรณีที่นักศึกษามีเอกสารจากแพทย์มายืนยันเหตุผลการไม่ฉีดวัคซีน หรือการต้องยกเว้นการรับวัคซีนเพราะเหตุผลทางศาสนา ขณะที่ มหาวิทยาลัยแห่งมิชิแกน ระบุว่า มีการตั้งระบบเพื่อยืนยันการฉีดวัคซีนของทั้งเจ้าหน้าที่และนักศึกษาแล้ว โดยโฆษกของมหาวิทยาลัยบอกกับผู้สื่อข่าว เอพี ว่า เท่าที่ผ่านมา ยังไม่พบปัญหาการปลอมแปลงบัตรวัคซีนในหมู่นักศึกษาเลย

อย่างไรก็ตาม เบนจามิน เมสัน ไมเออร์ ศาสตราจารย์ด้านนโยบายสาธารณสุขโลก จากมหาวิทยาลัยแห่งนอร์ทแคโรไลนา ณ แชปเปิลฮิลล์ แสดงความไม่แน่ใจว่า สถาบันการศึกษาต่างๆ จะตรวจสอบว่าบัตรเหล่านั้นเป็นของจริงได้แน่ๆ ได้อย่างไร และกล่าวว่า ขณะที่สหรัฐฯ ไม่เหมือนประเทศอื่นๆ เพราะมีการใช้ระบบอิเลคทรอนิคอย่างกว้างขวาง หลักฐานการฉีดวัคซีนที่กลายมาเป็นประเด็นอยู่นี้ กลับอยู่ในรูปของบัตรกระดาษธรรมดาๆ เท่านั้น

มหาวิทยาลัยแห่งนอร์ทแคโรไลนา ส่งคำแถลงมายังสำนักข่าว เอพี ที่ระบุว่า ทางมหาวิทยาลัยฯ มีการตรวจสอบเอกสารดังกล่าวเป็นระยะๆ และว่า การให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับสถานะของการฉีดวัคซีน หรือการปลอมแปลงเอกสารนั้นเป็นการละเมิดมาตรฐานการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ภายในชุมชนของมหาวิทยาลัย และอาจนำไปสู่การลงโทษทางวินัยได้

แต่เจ้าหน้าที่บางรายของสถาบันยังกังวลเกี่ยวกับการทำบัตรวัคซีนปลอมอยู่ดี และ รีเบคกา วิลเลียมส์ นักวิจัยแห่งศูนย์ Lineberger Comprehensive Cancer Center and Center for Health Promotion and Disease Prevention ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ให้ความเห็นว่า น่าจะมีการพัฒนาแอปพลิเคชั่นพาสปอร์ตวัคซีนให้ใช้งานในระดับชาติที่ทุกฝ่ายไว้ใจได้ เพราะจะเป็นการดีสำหรับทุกแห่งที่มีนโยบายขอดูหลักฐานการฉีดวัคซีนของพนักงาน นักศึกษา หรือลูกค้า

และแม้ประเด็นนี้จะยังเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายกังวลอยู่ ดร.ซาราห์ แวน ออร์แมน เจ้าหน้าที่บริหารกิจการด้านสาธารณสุข จากมหาวิทยาลัยแห่งเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย และสมาชิกคณะทำงานด้านโควิด-19 ของสมาคม American College Health Association กล่าวว่า วิทยาเขตของสถาบันการศึกษาทั้งหลายกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในการควบคุมการระบาดของโควิด-19 นับตั้งแต่นักศึกษาหลายหมื่นคนจากทั่วโลกย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยอีกครั้ง แต่แม้จะมีความพยามปลอมแปลงเอกสารหลักฐานการฉีดวัคซีนบ้าง เธอเชื่อว่า ผลกระทบนั้นน่าจะมีอยู่ในวงแคบๆ เพราะว่า “จำนวนนักศึกษาที่จะพยายามทำเช่นนั้นน่าจะมีไม่มาก ซึ่งจะไม่กระทบต่อความสามารถในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้สำเร็จได้”

ทั้งนี้ ประเด็นการปลอมแปลงบัตรวัคซีนโควิด-19 ในสหรัฐฯ เริ่มมีกันพูดถึงกันมาตั้งแต่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จนทำให้ สำนักงานสืบสวนกลางของสหรัฐฯ (FBI) ต้องออกแถลงการณ์ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและบริการประชาชนสหรัฐฯ ร้องขอให้ประชาชนอย่าซื้อ ทำ หรือ จำหน่ายบัตรปลอมเป็นอันขาด เพราะการใช้ตราสัญลักษณ์อย่างเป็นทางการของหน่วยงานรัฐ เช่น กระทรวงสาธารณสุขและบริการประชาชนสหรัฐฯ หรือศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ถือเป็นความผิดตามกฎหมายของประเทศและอาจต้องโทษทั้งปรับและจำคุกสูงสุดเป็นเวลา 5 ปีได้

และเมื่อเดือนกรกฎาคมที่เพิ่งผ่านพ้นไป กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ประกาศการดำเนินคดีอาญาคดีแรกที่เกี่ยวข้องกับการปลอมแปลงหลักฐานการฉีดวัคซีนโควิด-19 ซึ่งมีผู้ต้องหา 1 ราย คือ จูลิ เอ.มาซิ แพทย์สาขาธรรมชาติบำบัด ในเมืองนาปา รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งถูกจับกุมและถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (Wire Fraud) 1 กระทง และข้อหาทำข้อมูลเท็จด้านการแพทย์สาธารณสุขอีก 1 กระทง โดยเอกสารที่ศาลเปิดเผยออกมาระบุว่า ผู้ต้องหาขายบัตรวัคซีนโควิด-19 ปลอม โดยทำการกรอกบัตร ลงชื่อ และเขียนตัวเลขล็อตปลอมของวัคซีนจากโมเดอร์นา ด้วยตนเอง

แต่ในเวลานี้ นโยบายเรียกขอดูบัตรวัคซีนก่อนเข้าเรียนกลายมาเป็นประเด็นทางการเมืองในพื้นที่หลายรัฐแล้ว อย่างเช่น ในกรณีของ วิทยาลัยที่เป็นของรัฐในพื้นที่อย่างน้อย 13 รัฐ ที่รวมถึง โอไฮโอ ยูทาห์ เทนเนสซี และฟลอริดา ที่ไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะเรียกขอดูบัตรวัคซีนโควิด-19 เพราะกฎหมายของรัฐสั่งห้ามไว้ ขณะที่สถาบันการศึกษาเอกชนในรัฐเหล่านั้นกลับสามารถดำเนินนโยบายดังกล่าวได้ โดยไม่ต้องสนใจนักการเมืองของรัฐ

กระนั้นก็ตาม สมาคม American College Health Association ออกแถลงการณ์ร่วมกับองค์กรการศึกษาอื่นๆ ชี้แจงว่า การที่กฎหมายของรัฐออกมาสั่งห้ามไม่สถาบันการศึกษาออกกฎสั่งให้นักศึกษาทุกคนต้องฉีดวัคซีนและแสดงหลักฐานนั้น กลายมาเป็นอุปสรรคขัดขวางความพยายามและความสามารถของมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยทั้งหลายในการดำเนินงานได้เต็มรูปแบบและมีความปลอดภัยสำหรับทุกฝ่าย

(ที่มา: สำนักข่าว เอพี)