Your browser doesn’t support HTML5
สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐฯ ที่ยังไม่นิ่ง และมีการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาไปทั่ว ทำให้สถาบันอุดมศึกษาหลายแห่งทั่วประเทศประกาศนโยบายขอตรวจหลักฐานการฉีดวัคซีนของนักศึกษาที่ต้องการจะเข้าชั้นเรียนแบบปกติแทนการเรียนออนไลน์ แต่นโยบายดังกล่าว กลับนำมาซึ่งปัญหาใหม่ที่ทำให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องหนักใจแทน
สำนักข่าว เอพี รายงานว่า การที่วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยบางแห่งในสหรัฐฯ ตัดสินใจดำเนินนโยบายเปิดชั้นเรียนแบบปกติให้นักศึกษากลับมาเรียนอีกครั้ง ภายใต้เงื่อนไขว่า จะต้องมีหลักฐานการฉีดวัคซีนโควิด-19 มาแสดงเพื่อให้ได้รับอนุญาตเข้าเรียนนั้น กลายมาเป็นช่องทางสำหรับกลุ่มที่ต่อต้านการฉีดยาในการโกงระบบนี้
เอพี อ้างถึงข้อมูลจากการสัมภาษณ์นักศึกษา เจ้าหน้าที่ของสถาบันการศึกษา และเจ้าหน้าที่ด้านรักษากฎหมาย และรายงานด้วยว่า ทุกฝ่ายที่ผู้สื่อข่าวได้พูดคุยด้วยล้วนมีความกังวลว่า การปลอมแปลงบัตรวัคซีนโควิด-19 นั้นน่าจะทำได้ง่ายจริงๆ
และเมื่อผู้สื่อข่าวลองตรวจสอบหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต ก็พบว่า เกิดธุรกิจขนาดเล็กในระดับครัวเรือนขึ้นมารองรับผู้ที่ประกาศว่าจะไม่ยอมรับการฉีดวัคซีน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลส่วนตัวหรือเหตุผลทางศาสนาแล้ว
ยกตัวอย่างเช่น มีบัญชีอินสตาแกรมที่มีชื่อผู้ใช้งานว่า “vaccinationcards” เสนอขายบัตรวัคซีนโควิด-19ที่เคลือบพลาสติกเรียบร้อยแล้วในราคาเพียง 25 เซนต์ ขณะที่ ผู้ใช้งานแอป “เทเลแกรม” (Telegram) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มส่งข้อความที่มีการเข้ารหัสไว้ เสนอขาย “ใบสำคัญบัตรวัคซีนโควิด-19” ในราคาใบละ 200 ดอลลาร์ เป็นต้น
รายงานข่าวระบุว่า ผู้ติดต่อเข้ามายังแพลตฟอร์มเหล่านี้ และแอปอื่นๆ ที่คล้ายๆ กันที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนจะเป็นกลุ่มที่ต้องการบัตรวัคซีนปลอมเพื่อใช้งานในชั้นเรียนเป็นหลัก
จากการรวบรวมสถิติโดย The Chronicle of Higher Education มีมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยอย่างน้อย 675 แห่งที่ออกคำสั่งขอตรวจสอบหลักฐานการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว ขณะที่กระบวนการยืนยันการฉีดวัคซีนในหลายแห่งจะไม่ยุ่งยากเท่าไหร่ โดยเพียงขอให้นักศึกษาอัพโหลดภาพของบัตรวัคซีนขึ้นเว็บภายในสำหรับนักศึกษาก็เพียงพอแล้ว
แต่บางแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลท์ ในเมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี เจ้าหน้าที่จะสั่งระงับการลงทะเบียนของนักศึกษาแต่ละคนจนกว่าจะตรวจสอบหลักฐานการฉีดวัคซีนเรียบร้อยแล้ว ยกเว้นกรณีที่นักศึกษามีเอกสารจากแพทย์มายืนยันเหตุผลการไม่ฉีดวัคซีน หรือการต้องยกเว้นการรับวัคซีนเพราะเหตุผลทางศาสนา ขณะที่ มหาวิทยาลัยแห่งมิชิแกน ระบุว่า มีการตั้งระบบเพื่อยืนยันการฉีดวัคซีนของทั้งเจ้าหน้าที่และนักศึกษาแล้ว โดยโฆษกของมหาวิทยาลัยบอกกับผู้สื่อข่าว เอพี ว่า เท่าที่ผ่านมา ยังไม่พบปัญหาการปลอมแปลงบัตรวัคซีนในหมู่นักศึกษาเลย
อย่างไรก็ตาม เบนจามิน เมสัน ไมเออร์ ศาสตราจารย์ด้านนโยบายสาธารณสุขโลก จากมหาวิทยาลัยแห่งนอร์ทแคโรไลนา ณ แชปเปิลฮิลล์ แสดงความไม่แน่ใจว่า สถาบันการศึกษาต่างๆ จะตรวจสอบว่าบัตรเหล่านั้นเป็นของจริงได้แน่ๆ ได้อย่างไร และกล่าวว่า ขณะที่สหรัฐฯ ไม่เหมือนประเทศอื่นๆ เพราะมีการใช้ระบบอิเลคทรอนิคอย่างกว้างขวาง หลักฐานการฉีดวัคซีนที่กลายมาเป็นประเด็นอยู่นี้ กลับอยู่ในรูปของบัตรกระดาษธรรมดาๆ เท่านั้น
มหาวิทยาลัยแห่งนอร์ทแคโรไลนา ส่งคำแถลงมายังสำนักข่าว เอพี ที่ระบุว่า ทางมหาวิทยาลัยฯ มีการตรวจสอบเอกสารดังกล่าวเป็นระยะๆ และว่า การให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับสถานะของการฉีดวัคซีน หรือการปลอมแปลงเอกสารนั้นเป็นการละเมิดมาตรฐานการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ภายในชุมชนของมหาวิทยาลัย และอาจนำไปสู่การลงโทษทางวินัยได้
แต่เจ้าหน้าที่บางรายของสถาบันยังกังวลเกี่ยวกับการทำบัตรวัคซีนปลอมอยู่ดี และ รีเบคกา วิลเลียมส์ นักวิจัยแห่งศูนย์ Lineberger Comprehensive Cancer Center and Center for Health Promotion and Disease Prevention ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ให้ความเห็นว่า น่าจะมีการพัฒนาแอปพลิเคชั่นพาสปอร์ตวัคซีนให้ใช้งานในระดับชาติที่ทุกฝ่ายไว้ใจได้ เพราะจะเป็นการดีสำหรับทุกแห่งที่มีนโยบายขอดูหลักฐานการฉีดวัคซีนของพนักงาน นักศึกษา หรือลูกค้า
และแม้ประเด็นนี้จะยังเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายกังวลอยู่ ดร.ซาราห์ แวน ออร์แมน เจ้าหน้าที่บริหารกิจการด้านสาธารณสุข จากมหาวิทยาลัยแห่งเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย และสมาชิกคณะทำงานด้านโควิด-19 ของสมาคม American College Health Association กล่าวว่า วิทยาเขตของสถาบันการศึกษาทั้งหลายกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในการควบคุมการระบาดของโควิด-19 นับตั้งแต่นักศึกษาหลายหมื่นคนจากทั่วโลกย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยอีกครั้ง แต่แม้จะมีความพยามปลอมแปลงเอกสารหลักฐานการฉีดวัคซีนบ้าง เธอเชื่อว่า ผลกระทบนั้นน่าจะมีอยู่ในวงแคบๆ เพราะว่า “จำนวนนักศึกษาที่จะพยายามทำเช่นนั้นน่าจะมีไม่มาก ซึ่งจะไม่กระทบต่อความสามารถในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้สำเร็จได้”
ทั้งนี้ ประเด็นการปลอมแปลงบัตรวัคซีนโควิด-19 ในสหรัฐฯ เริ่มมีกันพูดถึงกันมาตั้งแต่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จนทำให้ สำนักงานสืบสวนกลางของสหรัฐฯ (FBI) ต้องออกแถลงการณ์ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและบริการประชาชนสหรัฐฯ ร้องขอให้ประชาชนอย่าซื้อ ทำ หรือ จำหน่ายบัตรปลอมเป็นอันขาด เพราะการใช้ตราสัญลักษณ์อย่างเป็นทางการของหน่วยงานรัฐ เช่น กระทรวงสาธารณสุขและบริการประชาชนสหรัฐฯ หรือศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ถือเป็นความผิดตามกฎหมายของประเทศและอาจต้องโทษทั้งปรับและจำคุกสูงสุดเป็นเวลา 5 ปีได้
และเมื่อเดือนกรกฎาคมที่เพิ่งผ่านพ้นไป กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ประกาศการดำเนินคดีอาญาคดีแรกที่เกี่ยวข้องกับการปลอมแปลงหลักฐานการฉีดวัคซีนโควิด-19 ซึ่งมีผู้ต้องหา 1 ราย คือ จูลิ เอ.มาซิ แพทย์สาขาธรรมชาติบำบัด ในเมืองนาปา รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งถูกจับกุมและถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (Wire Fraud) 1 กระทง และข้อหาทำข้อมูลเท็จด้านการแพทย์สาธารณสุขอีก 1 กระทง โดยเอกสารที่ศาลเปิดเผยออกมาระบุว่า ผู้ต้องหาขายบัตรวัคซีนโควิด-19 ปลอม โดยทำการกรอกบัตร ลงชื่อ และเขียนตัวเลขล็อตปลอมของวัคซีนจากโมเดอร์นา ด้วยตนเอง
แต่ในเวลานี้ นโยบายเรียกขอดูบัตรวัคซีนก่อนเข้าเรียนกลายมาเป็นประเด็นทางการเมืองในพื้นที่หลายรัฐแล้ว อย่างเช่น ในกรณีของ วิทยาลัยที่เป็นของรัฐในพื้นที่อย่างน้อย 13 รัฐ ที่รวมถึง โอไฮโอ ยูทาห์ เทนเนสซี และฟลอริดา ที่ไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะเรียกขอดูบัตรวัคซีนโควิด-19 เพราะกฎหมายของรัฐสั่งห้ามไว้ ขณะที่สถาบันการศึกษาเอกชนในรัฐเหล่านั้นกลับสามารถดำเนินนโยบายดังกล่าวได้ โดยไม่ต้องสนใจนักการเมืองของรัฐ
กระนั้นก็ตาม สมาคม American College Health Association ออกแถลงการณ์ร่วมกับองค์กรการศึกษาอื่นๆ ชี้แจงว่า การที่กฎหมายของรัฐออกมาสั่งห้ามไม่สถาบันการศึกษาออกกฎสั่งให้นักศึกษาทุกคนต้องฉีดวัคซีนและแสดงหลักฐานนั้น กลายมาเป็นอุปสรรคขัดขวางความพยายามและความสามารถของมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยทั้งหลายในการดำเนินงานได้เต็มรูปแบบและมีความปลอดภัยสำหรับทุกฝ่าย