เจรจาการค้าสหรัฐ-จีน เริ่มรอบใหม่ ภายใต้ความอึมครึมและไม่แน่นอน

Chinese Vice Premier Liu He accompanied by U.S. Trade Representative Robert Lighthizer, left, and Treasury Secretary Steven Mnuchin, greets the media before a minister-level trade meeting in Washington, Thursday, Oct. 10, 2019.

Your browser doesn’t support HTML5

US China Trade Talk

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ความอึมครึมอันเกิดจากวาทกรรมการเมือง และมาตรการต่าง ๆ ที่สหรัฐฯ และจีนนำมาใช้ลงโทษฝ่ายตรงข้าม ทำให้นักวิเคราะห์มองว่า โอกาสที่จะเห็นความคืบหน้าเพื่อยุติสงครามการค้าระหว่างสองประเทศนั้นมีน้อยมาก

ในวันพฤหัสบดีตามเวลาของสหรัฐฯ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวผ่านทวิตเตอร์ว่า เขาจะพบปะกับรองนายกรัฐมนตรีจีน หลิว เหอ ที่ทำเนียบขาวในวันศุกร์ ทำให้ตลาดหุ้นกระเตื้องรับข้อความดังกล่าว ที่ถูกมองว่าเป็นสัญญาณที่ดีว่าสหรัฐฯ และจีน อาจจะหาข้อยุติได้เร็วกว่าที่คิด

สงครามการค้าระหว่างกรุงวอชิงตันและปักกิ่ง มีผลกระทบไปทั่วโลก โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ คาดการณ์ว่า ภายในปีหน้า ข้อพิพาทระหว่างสองประเทศมหาอำนาจ อาจทำให้มูลค่าเศรษฐกิจโลกสูญไปกว่า 700,000 ล้านดอลลาร์ เทียบเท่ากับมูลค่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของสวิตเซอร์แลนด์ทั้งประเทศ

ก่อนหน้านี้ หลายฝ่ายมีความคาดหวังต่ำต่อการเจรจาการค้ารอบนี้ที่เริ่มขึ้นในวันพฤหัส ในกรุงวอชิงตัน หลังจากที่ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน และไร้ซึ่งความคืบหน้าที่สำคัญ ขณะเดียวกัน มาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนชุดแรกได้เข้าใกล้กำหนดที่จะต้องปรับขึ้นอีกครั้ง จากร้อยละ 25 เป็นร้อยละ 30 ในวันที่ 15 ตุลาคมนี้ ส่วนมาตรการภาษีชุดที่สองมีกำหนดปรับขึ้นในวันที่ 15 ธันวาคม ซึ่งจีนก็ส่งสัญญาณว่าจะโต้ตอบด้วยการเก็บภาษีสินค้าอเมริกันเพิ่มขึ้นเช่นกัน

นักวิเคราะห์มองว่า โอกาสที่ดีที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเจรจาครั้งนี้ ซึ่งเป็นครั้งที่ 13 คือการเลื่อนเส้นตายการปรับขึ้นภาษีสินค้าชุดใหม่ออกไปก่อน หรือการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ ใช้ลงโทษ “หัวเหว่ย” บริษัทเทเลคอมยักษ์ใหญ่ของจีน เพื่อให้จีนแสดงท่าทีว่าจะนำเข้าสินค้าเกษตรจากอเมริกา เพิ่มมากขึ้น ซึ่งภาคเกษตรกรรมของสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสงครามการค้า อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญอื่น เช่น การแทรกแซงค่าเงินหยวน การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา และการที่จีนให้เงินอุ้มชูธุรกิจรัฐวิสาหกิจของประเทศ น่าจะไม่มีการหยิบยกมาพูดถึง

นักวิเคราะห์ด้านธุรกิจระหว่างประเทศผู้หนึ่งบอกว่า สิ่งที่ทรัมป์ต้องการ คือการบีบให้จีนละทิ้งโครงสร้างทางเศรษฐกิจแบบเดิม และอ้าแขนรับเอาเศรษฐกิจแบบตะวันตก และกฎเกณฑ์ของตลาดไปใช้ แต่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิงของจีน กลับเลือกที่จะทำตรงกันข้าม

ในวันพุธที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ บอกกับผู้สื่อข่าวว่าจีนต้องการบรรลุข้อตกลงทางการค้ามาก ในขณะที่ตัวทรัมป์เองจะลงนามข้อตกลงก็ต่อเมื่อเป็นข้อเสนอที่ดีเท่านั้น ทรัมป์ยังบอกด้วยว่า แม้แต่ข้อตกลงที่จีนและสหรัฐฯ ได้ผลประโยชน์เท่ากันครึ่ง - ครึ่ง ก็ยังไม่ดีพอสำหรับสหรัฐฯ ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้อ้างว่ามาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งบริษัทผู้นำเข้าอเมริกันต้องเป็นผู้แบกรับนั้น เป็นผลดีต่อสหรัฐฯ

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เพิ่มความยุ่งยากซับซ้อนให้กับการเจรจาการค้าระหว่างสองประเทศไม่เว้นแต่ละวัน เช่น การที่สหรัฐฯ สั่งขึ้นบัญชีดำหน่วยงานรัฐและบริษัทเอกชนของจีน 28 แห่ง และจำกัดการออกวีซ่าให้แก่่เจ้าหน้าที่จีน ที่เกี่ยวพันกับการกระทำของรัฐบาลกรุงปักกิ่งเพื่อปราบปรามชาวอุยกูร์ ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมในเขตปกครองตนเองซินเจียง ส่วนจีนก็ได้แบนการออกอากาศการแข่งขันบาสเก็ตบอล NBA ในจีน หลังจากผู้จัดการทั่วไปของทีม Houston Rockets ได้ทวีตข้อความสนับสนุนผู้ประท้วงในฮ่องกง

ในขณะเดียวกัน ความพยายามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเดโมแครตที่จะถอดถอดประธานาธิบดีทรัมป์ออกจากตำแหน่ง ได้เพิ่มความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ทั้งนี้ ยังต้องจับตาดูว่ากระบวนการอิมพีชเมนต์จะมีผลกระทบต่อความพยายามหาข้อตกลงเพื่อยุติสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนหรือไม่