จีนปกป้องการทำงานด้านสิทธิมนุษยชนของตนต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ

China Wu Hailong

คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติทบทวนการทำงานของจีนในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนให้กับประชาชนของตนเมื่อวันอังคาร ที่นครเจนีวา

ในขณะที่ทูตพิเศษของจีนกล่าวปกป้องการทำงานของรัฐบาลว่าได้ปรับปรุงระบบกฎหมายรวมทั้งเพิ่มการปกป้องคุ้มครองชนกลุ่มน้อยในประเทศ นักกฎหมายจีนที่เชี่ยวชาญในเรื่องสิทธิมนุษยชนกล่าวว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังไม่พร้อมที่จะแบ่งปันอำนาจให้ประชาชน

การทบทวนการทำงานของประเทศภาคีของสหประชาชาติแต่ละประเทศในเรื่องสิทธิมนุษยชน เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ Universal Periodic Review (UPR) หรือการทบทวนสากลเป็นระยะๆ ขององค์การสหประชาชาติ

ในการทบทวนการทำงานเรื่องสิทธิมนุษยชนของจีนครั้งแรกในปี ค.ศ. 2009 สมาชิกของสหประชาชาติในที่ประชุมมีข้อเสนอแนะ ซึ่งจีนรับไว้ 42 ข้อด้วยกัน

ทูต Wu Hailong หัวหน้าคณะผู้แทนจีนที่ไปร่วมการประชุมทบทวนครั้งนี้ กล่าวว่าจีน ซึ่งเป็นประเทศใหญ่ มีประชากร 1.3 พันล้านคน มีกลุ่มชนเผ่า 56 กลุ่มนั้น มีปัญหามากมาย แต่ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา ได้ทำงานก้าวหน้าไปมาก เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรือง มีระบบที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น รวมทั้งหลักนิติธรรม

ทูตจีนผู้นี้กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลได้รับประกันสิทธิมนุษยชนของชนกลุ่มน้อย คนเหล่านี้มีส่วนร่วมในการบริหารงานของการปกครองท้องถิ่นอย่างเท่าเทียมกันกับชาวจีน อัตราส่วนของชนกลุ่มน้อยที่เข้ารับตำแหน่งหัวหน้างานกำลังเพิ่มขึ้น พวกเขามีเสรีภาพในการนับถือศาสนา และสิทธิในการใช้และพัฒนาภาษาของตนเอง ในขณะที่รัฐบาลกำลังเพิ่มการลงทุนในพื้นที่ของชนกลุ่มน้อยมากขึ้นด้วย

การทบทวนการทำงานของจีนครั้งนี้ มีขึ้นไม่กี่เดือนหลังจากที่ประธานาธิบดี Xi Jinping เข้ารับตำแหน่ง และประธานาธิบดีจีนคนใหม่ได้ใมห้คำมั่นไว้ว่า จะเดินทางสายกลางและรับฟังความคิดเห็นให้มากขึ้น

แต่ Mo Shaoping นักกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชนกล่าวว่า แม้ประธานาธิบดี Xi Jinping จะให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ และหลักนิติธรรมของประเทศ แต่ก็มีแนวโน้มที่ทำให้วิตกกังวลกันด้วย

เขาบอกว่า มหาวิทยาลัยในประเทศกำหนดวิชา 7 วิชาที่ห้ามสอน เช่น สิทธิพลเมือง อิสรภาพของฝ่ายตุลาการ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และความผิดพลาดของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เหล่านี้เป็นต้น

ในขณะเดียวกัน สื่อรายใหญ่ๆตำหนิวิพากษ์ระบบรัฐธรรมนูญ โดยกล่าวว่าเป็นผลิตผลของสังคมทุนนิยม

Jiang Tianyong นักกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชนอีกคนหนึ่ง กล่าวว่า เวลานี้รัฐบาลใช้มาตรการปราบปรามหนักยิ่งขึ้นกว่าเดิม คือแทนที่จะถูกก่อกวนหรือถูกเฝ้าติดตาม จะเป็นการถูกทุบตีทำร้ายหรือถูกคุมขัง

นักกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชนชาวจีนผู้นี้บอกว่า พื้นฐานของการปราบปรามและการปิดปากผู้ที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกับรัฐบาล คือ อำนาจ ซึ่งหมายความว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนยังไม่พร้อมที่จะแบ่งปันอำนาจให้กับประชาชน พรรคยังต้องการผูกขาดอำนาจอยู่ต่อไป และหวั่นกลัวว่า เมื่อประชาชนตื่นตัวขึ้นมา จะเรียกร้องสิทธิที่ผู้คนทั่วโลกมีกันอยู่แล้วในเวลานี้

แต่ Shiwei Ye เจ้าหน้าที่อาวุโสของโครงการสิทธิมนุษยชนในประเทศจีนขององค์การสหประชาชาติ ยังมีความหวัง

เขาให้ความเห็นว่า แม้จะมีการปราบปราม แต่ความหวั่นกลัวของพลเมืองในการแสดงความคิดเห็น ลดน้อยลงทุกที และเมื่อประชาชนมีความกลัวน้อยลง รัฐบาลจะกลับมีความกลัวประชาชนของตนมากขึ้น สิ่งที่เจ้าหน้าที่สหประชาชาติผู้นี้หวังไว้ก็คือ รัฐบาลจะเลิกกลัวประชาชน และหันมารับฟัง และร่วมมือทำงานกับประชาชน เพราะการกระทำเช่นนั้น คือ กุญแจสำหรับการพัฒนาประเทศแบบยั่งยืน และหลักนิติธรรมในจีนที่ถูกต้องแข็งขันในที่สุด