Your browser doesn’t support HTML5
ตั้งแต่เริ่มมีการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 ในอเมริกา รัฐสภาสหรัฐได้อนุมัติงบประมาณเพื่อช่วยเหลือรัฐบาลของมลรัฐต่าง ๆ และรัฐบาลส่วนท้องถิ่นไปแล้วหลายล้านล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้มีการใช้เงินช่วยเหลือดังกล่าวไปเพียงแค่ 25% เท่านั้น
หน่วยงาน Kaiser Health News ร่วมกับสำนักข่าว AP ได้ตรวจสอบปัญหานี้ และพบว่ามีสาเหตุที่มาจากปัญหาสำคัญสามด้าน คือเรื่องการเมือง เรื่องความล่าช้าของระบบราชการ รวมทั้งการขาดแคลนบุคลากรเนื่องจากการตัดงบประมาณที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้
โดยเมื่อเดือนมีนาคม รัฐสภาสหรัฐได้ผ่านกฎหมายชื่อ Cares Act ที่จัดสรรงบประมาณเกือบ 2 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อช่วยผู้ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 และในจำนวนนี้มีการตั้งวงเงิน 1 แสน 5 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อช่วยรัฐบาลของมลรัฐและรัฐบาลระดับท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศให้รับมือกับโควิด-19 ด้วย
แต่รายงานของกระทรวงการคลังสหรัฐ ณ วันที่ 30 มิถุนายนแสดงว่ามีการใช้เงินดังกล่าวไปเพียงแค่ 25% เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ผลตรวจสอบข้อมูลที่ทำโดยหน่วยงานชื่อ Kaiser Health News ร่วมกับสำนักข่าว AP แสดงว่ามีปัญหาหลายอย่างที่ทำให้หน่วยงานระดับท้องถิ่นเหล่านี้ไม่ได้รับเงินหรือไม่สามารถใช้เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางได้
ปัญหาที่ว่านี้อาจสรุปได้เป็นสามเรื่องใหญ่ คือปัญหาการเมือง ปัญหาความล่าช้าของระบบราชการ รวมทั้งปัญหาการขาดแคนบุคลากรของหน่วยงานระดับท้องถิ่นนั่นเอง
ในแง่ปัญหาการเมือง รัฐมินเนโซต้าและนครมินนิแอโปลิสอาจจะเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด เพราะรัฐสภาสหรัฐกำหนดว่าเงินช่วยเหลือจะถูกจัดสรรตามจำนวนประชากรโดยมีเกณฑ์ขั้นต่ำอยู่ที่ 5 แสนคนเพื่อให้ได้รับเงินช่วยเหลือนี้โดยตรงจากรัฐบาลกลาง
อย่างไรก็ตาม นครมินนิแอโปลิสซึ่งมีประชากร 4 แสน 3 หมื่นคนไม่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว และต้องรอรับความช่วยเหลือ 430,000 ดอลลาร์ผ่านทางรัฐบาลของรัฐมินเนโซต้าแทนเพื่อช่วยเรื่องการสุ่มตรวจหาเชื้อ
แต่จากความขัดแย้งระหว่างพรรครีพับลิกันกับพรรคเดโมแครตซึ่งแยกกันคุมสภาสูงและสภาล่างของรัฐเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการใช้เงิน ทำให้ตกลงกันไม่ได้และการเจรจาเป็นไปอย่างยืดเยื้อ จนในที่สุดผู้ว่าการของรัฐต้องตัดสินใจให้จัดสรรเงินตามสูตรคำนวณประชากรโดยไม่คำนึงถึงปัญหาหนักเบาของโรคโควิด-19 ในพื้นที่
ถึงกระนั้นก็ตาม นครมินนิแอโปลิสก็ยังไม่สามารถใช้งบประมาณดังกล่าวอย่างรวดเร็วได้เพราะขาดแคนบุคลากร และรายงานการศึกษาของ Kaiser Health News ร่วมกับสำนักข่าว AP ก็ชี้ว่า บุคลากรด้านสาธารณสุขในระดับรัฐและระดับท้องถิ่นของสหรัฐนั้นถูกตัดลดลงอย่างมากในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา โดยมีการลดตำแหน่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขระดับท้องถิ่นไปแล้วถึงกว่า 38,000 ตำแหน่งตั้งแต่ปี 2551 และงบประมาณของหน่วยงานเหล่านี้ก็ถูกตัดลง 18% ในช่วงสิบปีหลังนี้ด้วย ซึ่งเรื่องนี้ได้ทำให้หน่วยงานสาธารณสุขเหล่านี้ขาดทั้งงบประมาณและบุคลากรที่จะรับมือกับโรคระบาดใหญ่ที่เกิดขึ้น
และนอกจากปัญหาการเมืองเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการใช้เงิน รวมทั้งการขาดแคนบุคลากรแล้ว ระเบียบที่ยุ่งยากของระบบราชการก็เป็นเหตุผลสำคัญทำให้ไม่สามารถใช้จ่ายเงินช่วยเหลือของรัฐบาลกลางก็อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยด้วย เพราะขณะที่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ได้รับเงินช่วยเหลือเพื่อสร้างความพร้อมรับมือกับโควิด-19 จากการโอนเงินเข้าบัญชีโดยตรงนั้น หน่วยงานสาธารณสุขเล็ก ๆ เช่น ของเมืองออกซ์ฟอร์ด ในรัฐนอร์ทแคโรไลนา ที่ได้รับความช่วยเหลือรวม 120,000 ดอลลาร์ผ่านสามโครงการ ต้องจัดทำเอกสารคำขอถึง 25 หน้าสำหรับแต่ละโครงการความช่วยเหลือ เป็นต้น
กระบวนการที่ยุ่งยากและซับซ้อนในการขอเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางสหรัฐสำหรับต่อสู้กับโรคโควิด-19 ท่ามกลางการขาดแคนบุคลากรในระดับท้องถิ่นอยู่แล้ว ทำให้เป็นเรื่องยากขึ้นสำหรับหน่วยงานสาธารณสุขท้องถิ่นที่ทำงานสัมผัสใกล้ชิดกับผู้คน
และอย่างที่คุณโรเบิร์ต มิลเลอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายสาธารณสุขของเขตอีสเทอร์น ไอร์แลนด์ในรัฐคอนเนตทิคัต เปรียบเทียบว่า ข้อกำหนดเรื่องรายงานการใช้เงินที่จะต้องมีใบเสร็จแนบทุกใบ ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า แรงบีบที่ต้องใช้ในกระบวนการเหล่านี้จะคุ้มค่ากับน้ำมะนาวที่ได้หรือไม่นั่นเอง