ไบเดนร่วมประชุมผู้นำอาเซียนพร้อมสนับสนุนเงินช่วยเหลือกว่าร้อยล้านดอลลาร์ขยายความร่วมมือทางยุทธศาสตร์

In this image released by Brunei ASEAN Summit, U.S. President Joe Biden speaks in the virtual meeting of Association of Southeast Asian Nations summit with the leaders members states on Oct. 26, 2021.

Your browser doesn’t support HTML5

Business News

เมื่อวันอังคาร ประธานาธิบดีไบเดนของสหรัฐฯ เข้าร่วมการประชุมกับผู้นำของประเทศสมาชิกสมาคมอาเซียนทางระบบวิดีโอออนไลน์และประกาศให้ความช่วยเหลือมูลค่า 102 ล้านดอลลาร์เพื่อส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ กับภูมิภาคอินโดแปซิฟิก

โดยประธานาธิบดีไบเดนกล่าวต่อที่ประชุมร่วมระหว่างผู้นำของประเทศอาเซียนกับสหรัฐฯ ว่าการเป็นหุ้นส่วนร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่ายมีความสำคัญสำหรับภูมิภาคอินโดแปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง ซึ่งนับเป็นรากฐานสำคัญของความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองที่มีร่วมกันมานานหลายสิบปีแล้ว ประธานาธิบดีไบเดนยังได้ย้ำถึงความสำคัญของกลุ่มประเทศอาเซียนและเรียกความสัมพันธ์นี้ว่าเป็นหมุดสำคัญของการรักษาไว้ซึ่งความสามารถในการปรับตัวเพื่อฟื้นคืนสภาพ ความเจริญรุ่งเรือง และความมั่นคงของภูมิภาคนี้ด้วย

พร้อมกันนี้สหรัฐฯ ได้ประกาศการให้ความช่วยเหลือ 102 ล้านดอลลาร์แก่อาเซียนเพื่อใช้ในแผนงานด้านสุขภาพ เช่น การป้องกันและการรับมือกับโรคโควิด-19 รวมทั้งโรคติดต่ออื่นๆ ด้านการบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การสนับสนุนความร่วมมือด้านการค้าและนวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งในด้านการศึกษาและการสร้างความทัดเทียมระหว่างเพศด้วย

ถึงแม้การเข้าร่วมการประชุมสุดยอดของประธานาธิบดีไบเดนครั้งนี้จะแสดงถึงความสนใจและความสำคัญที่สหรัฐฯ กลับมาให้กับภูมิภาคนี้หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้เข้าร่วมการประชุมด้วยตนเองครั้งล่าสุดที่กรุงมนิลาในปี 2017 ก็ตาม แต่นักวิเคราะห์บางคนก็ชี้ว่าสหรัฐฯ ยังอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบเมื่อเทียบกับประเทศมหาอำนาจรายอื่นซึ่งต้องการสร้างความสัมพันธ์และอิทธิพลกับกลุ่มประเทศอาเซียน

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นาย Marc Mealy รองผู้อำนวยการด้านนโยบายขององค์การ US-Asean Business Council แสดงความยินดีที่ประธานาธิบดีไบเดนนำสหรัฐฯ กลับเข้ามามีบทบาทกับอาเซียนอีกครั้งหนึ่ง โดยชี้ว่าเป็นที่คาดกันว่าภายในปีค.ศ. 2030 ภูมิภาคนี้จะเป็นประชาคมเศรษฐกิจซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

อย่างไรก็ตามถึงแม้สหรัฐฯ จะถูกมองว่ามีบทบาทสำคัญเรื่องการให้หลักประกันด้านความมั่นคงสำหรับอาเซียนก็ตาม แต่วอชิงตันก็ยังตามหลังจีนอยู่ในแง่ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจเพราะขณะนี้จีนเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอาเซียนและทั้งสองฝ่ายเพิ่งทำความตกลงในข้อตกลงการค้าเสรี RCEP ซึ่งครอบคลุมผลผลิต GPP ราว 30 เปอร์เซ็นต์ของโลกโดยสหรัฐฯ ไม่มีส่วนร่วมอยู่ด้วย

ส่วนนาย Prashanth Parameswaran นักวิเคราะห์ด้านเอเชียของ Wilson Center ในสหรัฐฯ ก็ชี้ว่าสำหรับประเด็นที่สำคัญต่างๆ หลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นการค้าหรือสิ่งแวดล้อมนั้น สหรัฐฯ มักมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ริเริ่มแต่บางครั้งสหรัฐฯ ก็มักถอนตัวออกไป และในแง่ภูมิรัฐศาสตร์แล้ววอชิงตันยังอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือออสเตรเลียที่ต้องการเข้ามามีบทบาทอิทธิพลกับอาเซียน ดังนั้นสหรัฐฯ จึงจำเป็นจะต้องทำงานให้มากขึ้นเพื่อให้ได้รับความสนับสนุนจากอาเซียนด้วย

ในส่วนที่เกี่ยวกับเมียนมาซึ่งปีนี้ผู้นำของเมียนมาไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมระดับผู้นำของอาเซียนนั้น นาย Prashanth Parameswaran นักวิเคราะห์ของ Wilson Center ได้ชี้ว่าการตัดสินใจของอาเซียนถือเป็นการส่งสัญญาณอย่างสำคัญสำหรับปัญหาซึ่งอาเซียนไม่สามารถปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงได้ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นในเมียนมาขณะนี้ไม่ใช่ปัญหาของเมียนมาเองโดยเฉพาะแต่นับเป็นปัญหาของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นปัญหาของอาเซียนด้วย

และสำหรับเรื่องเมียนมานั้น นาย Jake Sullivan ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ กล่าวว่าวอชิงตันยังคงสนับสนุนข้อเสนอห้าข้อของสมาคมอาเซียนเพื่อหาทางออกให้กับปัญหาการเมืองในเมียนมา และย้ำว่าสหรัฐฯ จะยังคงสนับสนุนประชาชนชาวเมียนมาสำหรับเส้นทางไปสู่ประชาธิปไตย และจะสนับสนุนเรื่องการคุ้มครองความมั่นคงปลอดภัยและสิทธิมนุษยชนของผู้คนในเมียนมาต่อไปด้วย

ที่มา: VOA