องค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น เตือนว่า ราคาอาหารและน้ำมันในเมียนมากำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจาก “ความไม่สงบทางการเมืองในปัจจุบัน” ที่เริ่มต้นหลังมีการออกมาประท้วงต่อต้านรัฐประหาร
โครงการอาหารโลก (World Food Program – WFP) ของยูเอ็น ออกแถลงการณ์ในวันอังคาร ที่ระบุว่า ราคาข้าวสารในเมียนมาปรับขึ้นทั่วประเทศราว 3 เปอร์เซ็นต์โดยเฉลี่ย ในช่วงระหว่างกลางเดือนมกราคมถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ขณะที่ ราคาข้าวในบางพื้นที่ของรัฐกะฉิ่น ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ พุ่งหนักถึง 20-35 เปอร์เซ็นต์ไปแล้ว
แถลงการณ์นี้ยังระบุด้วยว่า ราคาน้ำมันปาล์มในประเทศปรับเพิ่มสูงถึง 20 เปอร์เซ็นต์ นับตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาด้วย
WFP ชี้ว่า สถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมา คือต้นเหตุสำคัญที่ส่งผลลบอย่างหนักต่อห่วงโซอุปทานและตลาดในประเทศ
สตีเฟน แอนเดอร์สัน ผู้อำนวยการ WFP ประจำเมียนมา กล่าวว่า “สัญญาณเบื้องต้นที่มีออกมานี้ ถือเป็นเรื่องที่น่าห่วงอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงและมีปัญหาในการหาอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้องในแต่ละวัน” และเตือนว่า หากสถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไป ประชาชนในเมียนมา ที่เป็นกลุ่มที่ยากจนที่สุดและมีความเสี่ยงที่สุด อาจจะต้องประสบความยากแค้นที่หนักหน่วงขึ้นในการหาอาหารมาเลี้ยงดูครอบครัว
คำเตือนล่าสุดจากหน่วยงานของยูเอ็นนี้ มีออกมาหลังรัฐบาลทหารเมียนมาประกาศขยายการใช้อำนาจกฎอัยการศึกไปยังหลายพื้นที่ของนครย่างกุ้ง ขณะที่มีรายงานข่าวเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงสังหารผู้เข้าชุมนุมประท้วงอย่างต่อเนื่อง
สมาคมเพื่อความช่วยเหลือนักโทษการเมือง (Assistance Association for Political Prisoners – AAPP) ที่ติดตามสถานการณ์ความรุนแรงในเมียนมามาโดยตลอด กล่าวว่า น่าจะมีผู้เสียชีวิตจากการถูกยิงโดยเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงอย่างน้อย 20 รายในวันจันทร์
เลขาธิการใหญ่องค์การสหประชาชาติ อันโตนิโอ กูเทอเรซ กล่าวว่า “ตนรู้สึกโกรธมาก ที่เห็นการยกระดับความรุนแรงในเมียนมา ด้วยน้ำมือของกองทัพ” ขณะที่ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ จาลินา พอร์เตอร์ กล่าวว่า “ความรุนแรงที่เกิดกับผู้ชุมนุมประท้วงนั้นเป็น ‘สิ่งที่ไร้ซึ่งศีลธรรมและไม่สามารถหาข้ออ้างมาแก้ตัวได้’ เลย”