'ทรัมป์' กดปุ่มเริ่มสงครามการค้าอย่างเป็นทางการ

The Yang Ming shipping line container ship Ym Utmost is unloaded at the Port of Oakland on Monday, July 2, 2018, in Oakland, Calif. The Trump administration on Friday, July 6, 2018, will start imposing tariffs on $34 billion in Chinese imports.

รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กดปุ่มเริ่มต้นสงครามการค้ากับจีนอย่างเป็นทางการ หลังขึ้นกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก 34,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อช่วงเที่ยงคืนของวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่น ขณะที่จีนก็โต้กลับอย่างสมน้ำสมเนื้อ

โฆษกรัฐมนตรีต่างประเทศของจีน หู ชุน หัว แถลงเมื่อวันศุกร์ว่า มาตรการตอบโต้กำแพงภาษีสหรัฐฯจะมีผลทันที ในสัดส่วนที่ทัดเทียมกัน โดยก่อนหน้านี้รัฐบาลปักกิ่งได้เปิดเผยรายการสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯมูลค่า 34,000 ล้านดอลลาร์ที่จีนจะปรับขึ้นภาษีขึ้นตอบโต้ ซึ่งรวมถึง ถั่ว รถยนต์ขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้า และเหล่าวิสกี้ ในอัตราภาษีร้อยละ 25

ด้านกระทรวงพาณิชย์จีนได้ออกมาโจมตีรัฐบาลวอชิงตัน ว่ากำลังทำตัวเป็น "อันธพาลทางการค้า" ในการขึ้นกำแพงภาษีในสินค้าเทคโนโลยี ที่อาจสะเทือนเศรษฐกิจโลกที่กำลังฟื้นตัวได้

ขณะที่ทิศทางตลาดหุ้นเอเชีย ที่ปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ ปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังการเปิดฉากสงครามการค้าของสหรัฐฯ ที่จีนมีมาตรการตอบโต้ทันที โดยดัชนี Nikkei ปิดบวกร้อยละ 1.1 , ดัชนี Shanghai Composite ปิดบวกเช่นกันที่ร้อยละ 0.5, ดัชนี Hang Seng ของฮ่องกง เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 เช่นเดียวกับตลาดหุ้นฝั่งยุโรปที่เปิดบวกในการซื้อขายช่วงเช้า

อย่างไรก็ตาม ต้องจับตากลศึกสงครามการค้าของทรัมป์ หลังจากที่ผู้นำสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวระหว่างเดินทางไปยังมอนทานา บอกว่า สหรัฐฯเตรียมขึ้นกำแพงภาษีกับสินค้าจีนเพิ่มอีก 16,000 ล้านดอลลาร์ ที่จะมีผลบังคับใช้ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังเตรียมยกระดับความรุนแรงขึ้นไปอีก โดยบอกว่า สหรัฐฯ พร้อมจะปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าได้อีก 200,000 ล้านดอลลาร์ และอีก 300,000 ล้านดอลลาร์ในขั้นต่อไป หากจีนไม่ทำตามข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ และยังใช้มาตรการตอบโต้ทางภาษีกับสหรัฐฯอย่างต่อเนื่อง

นั่นเท่ากับว่า สหรัฐฯพร้อมตั้งกำแพงภาษีกับสินค้าจีนมูลค่าอีก 550,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่ามูลค่าสินค้าที่จีนส่งออกไปสหรัฐฯเมื่อปีก่อน ที่ 506,000 ล้านดอลลาร์เสียอีก

ทั้งนี้ คณะทำงานของรัฐบาลทรัมป์ ได้อ้างว่าจีนใช้กลยุทธ์แบบนักล่า เพื่อชิงความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีไปจากสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นการโจรกรรมบนโลกไซเบอร์ และการบังคับใช้บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับรัฐบาลจีน เพื่อแลกกับการเข้าถึงตลาดแดนมังกร