สำนักข่าวรอยเตอร์ ระบุว่า James Hackett ซีอีโอของฟอร์ด มอเตอร์ กล่าวถึงมาตรการภาษีเหล็กกล้าและอลูมิเนียม ในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าทำให้กำไรของบริษัทหายไปราว 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรายได้ที่มาจากสหรัฐฯทั้งสิ้น หาปล่อยให้คงมาตรการเช่นนี้ อาจจะสร้างความเสียหายต่อธุรกิจมากกว่าที่เป็นอยู่นี้
ทั้งนี้ ธุรกิจยานยนต์ของสหรัฐฯได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีเหล็กกล้าและอลูมิเนียม จากมาตรการปกป้องอุตสาหกรรมและกระตุ้นการจ้างงานในประเทศของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ขึ้นกำแพงภาษีสินค้าอลูมิเนียมที่ร้อยละ 10 และเหล็กกล้าที่ร้อยละ 25 ที่นำเข้าจากสหภาพยุโรป เม็กซิโก แคนาดา อินเดีย รวมถึงจีน แต่กลับถูกตอบโต้ด้วยมาตรการแบบเดียวกัน ซ้ำร้ายยังเป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ
นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังมีแผนที่จะขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศร้อยละ 25 โดยอ้างเหตุผลด้านภัยคุกคามความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ด้วย
ซึ่งทางบริษัทวิเคราะห์ของอังกฤษ IHS Markit ประเมินว่า หากสหรัฐฯ บังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้ารถยนต์จริง จะทำให้ราคารถยนต์สูงขึ้นราว 1,800-5,700 ดอลลาร์ต่อคัน และทำให้ยอดขายรถยนต์ลดลง 2.2 ล้านคันในอีก 2 ปีข้างหน้า กระทบกับการจ้างงานในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนและที่เกี่ยวข้องกันราว 300,000 ตำแหน่งในสหรัฐฯ และกระทบต่อผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพีสหรัฐฯ ราวร้อยละ 1.1-2.2