Your browser doesn’t support HTML5
ภารกิจการเยือนสหรัฐฯอย่างเป็นทางการครั้งแรก ของนายเอ็มมานูเอล มาคร็อง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ตลอด 3 วันที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่ได้รับการต้อนรับอันยิ่งใหญ่และเป็นกันเองจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
นักวิเคราะห์ทางการเมือง ยังจับตาถึงภาษากายของทั้งคู่ ที่ดูสนิทสนมกันจนเรียกได้ว่า ถูกชะตากันอย่างมาก ตั้งแต่การจับมือกันอย่างเนิ่นนานและบ่อยครั้ง และการดูแลเอาใจใส่กันและกันชนิดที่ว่าไม่สนิทกันคงทำไม่ได้
เรื่องนี้ทางคริสโตเฟอร์ อุลริช จากสถาบัน Body Language Institute ที่เชี่ยวชาญด้านภาษากาย บอกว่า ท่าทางของทั้งคู่อ่านได้ไม่ยาก
คุณอุลริช บอกว่า ท่าทางของทั้งคู่ แสดงถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีระหว่างผู้นำทั้งสองและการสร้างสมดุลทางอำนาจ จะเห็นได้ว่าทั้งคู่พยายามสร้างอิทธิพลเหนือกันอยู่ตลอดเวลา อย่างการจับมือกันยาวนานถึง 18 วินาที เป็นต้น
ด้านแมตต์ ดัลเล็ค นักประวัติศาสตร์การเมือง จากมหาวิทยาลัย George Washington บอกว่า จริงๆแล้วประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีมาคร็อง ความรู้สึกชอบพอแบบคนที่ถูกชะตากันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จนสื่อมวลชนเรียกว่า Bromance หรือ ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องของผู้ชาย แต่ทั้งคู่ก็มีบทบาทหน้าที่ในฐานะผู้นำประเทศที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของชาติเช่นกัน ซึ่งในจุดนี้น่าจะส่งผลดีกับทรัมป์มากกว่า
ในอีกด้านหนึ่ง ประธานาธิบดีทรัมป์ กลับมีท่าทีแตกต่างกับนายกรัฐมนตรีแองเกลา แมร์เคิล แห่งเยอรมนีอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่การเยือนสหรัฐฯของผู้นำเยอรมนีเมื่อปีที่แล้ว
คุณอุลริช เรียกลักษณะนี้ว่า cold shoulder หรือท่าทีอันเย็นชา ที่ไม่ว่าสื่อมวลชนจะเรียกร้องแค่ไหน แต่ดูเหมือนว่า ทรัมป์ อาจจะไม่ได้ยิน จึงไม่ได้จับมือนางแมร์เคิลตามที่สื่อร้องขอ
เช่นเดียวกับคุณดัลเล็ค ที่มองว่า ช่องว่างที่เกิดขึ้นระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และเยอรมนี ส่วนหนึ่งมาจากอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน ทั้งนโยบายด้านผู้ลี้ภัย การค้าเสรี มหภาพยุโรป ความสำคัญของ NATO และอีกมากมาย
แต่ไม่ว่าท่าทางภาษากายแตกต่างกันแค่ไหน เป้าหมายของนางแมร์เคิล และนายมาคร็อง 2 มหาอำนาจจากฝั่งยุโรป ก็มีจุดยืนร่วมกัน คือ การทำให้ทรัมป์เปลี่ยนใจในมุมมองด้านการค้าการลงทุนกับสหภาพยุโรป การผลักดันข้อตกลงลดโลกร้อน และข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ที่ทรัมป์หันหลังให้มาตลอด
ซึ่งก็ต้องจับตากันต่อว่า ในการพบกันระหว่างนายกรัฐมนตรีแมร์เคิล และประธานาธิบดีทรัมป์ ที่จะมีขึ้นเร็วๆนี้ จะเป็นไปอย่างที่เราคาดการณ์กันหรือไม่