ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศพร้อมใช้อำนาจสั่งกำลังทหารเข้ายุติ สิ่งที่ผู้นำสหรัฐฯ เรียกว่า “การจลาจลและการไม่เคารพกฎหมาย” ที่ดำเนินอยู่ทั่วประเทศในเวลานี้ ในระหว่างการชุมนุมประท้วงเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่การเสียชีวิตของ จอร์จ ฟลอยด์ ชาวอเมริกันผิวสี ระหว่างถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจผิวขาว
ในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสื่อเมื่อช่วงหัวค่ำของวันจันทร์ตามเวลาในสหรัฐฯ ปธน.ทรัมป์ เตือนว่า “หากเมืองหรือรัฐใดปฏิเสธที่จะลงมือดำเนินการที่จำเป็นเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนของตน ข้าพเจ้าจะส่งทหารแห่งกองทัพสหรัฐฯ เข้าไปเพื่อแก้ปัญหาให้อย่างรวดเร็ว”
คำประกาศของผู้นำสหรัฐฯ นี้ เป็นการอ้างอิงถึงกฎหมายที่ชื่อ Insurrection Act ที่ผ่านออกมาใช้งานในปี ค.ศ. 1807 ซึ่งอนุญาตให้ประธานาธิบดีจัดการกับสภาวะการไม่มีขื่อมีแปในช่วงวิกฤติได้ โดยสหรัฐฯ มีการใช้กฎหมายนี้ครั้งล่าสุดเมื่อปี ค.ศ. 1992 เมื่อเกิดการจลาจลในนครลอสแอนเจลิส หลังเกิดเหตุเสียชีวิตของ รอดนีย์ คิง ชายชาวแอฟริกัน-อเมริกันที่ถูกทุบตีโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ปธน.ทรัมป์ กล่าวว่า ตนจะสั่งการให้เจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งพลเรือนและเจ้าหน้าที่ทหาร เพื่อหยุดการจลาจลและการปล้นสดมภ์ และยุติความเสียหายและการลอบวางเพลิง รวมทั้งเพื่อปกป้องสิทธิ์ของชาวอเมริกันที่ปฏิบัติตามกฎหมายทั้งหลาย ซึ่งรวมถึง รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 ซึ่งปกป้องสิทธิ์ของชาวอเมริกันในการถืออาวุธ
ก่อนที่ผู้นำสหรัฐฯ จะพบกับสื่อครั้งนี้ ผู้สื่อข่าวซึ่งรอฟังการแถลงรายงานว่า ได้ยินเสียงดังจากการยิงแก๊สน้ำตาใกล้ๆ บริเวณ ลาฟาแยตต์ ปาร์ค ซึ่งอยู่ใกล้ทำเนียบขาว และตำรวจจลาจลถือโล่ทำการผลักดันผู้ชุมนุมอย่างสงบออกจากพื้นที่ จากนั้น มีการยิงลูกกระสุนยาง และมีการส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจม้าเข้าพื้นที่เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ชุมนุมเหลืออยู่
ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ผู้ใช้กฎหมายที่หน้าทำเนียบขาวครั้งนี้ เกิดขึ้นก่อนคำสั่งเคอร์ฟิวที่เวลา 19 นาฬิกาในกรุงวอชิงตัน มีผลบังคับใช้ถึงเกือบ ½ ชั่วโมง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นการเปิดทางให้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เดินเท้าจากทำเนียบขาว ไปยังโบสถ์ เซนต์ จอห์นส ซึ่งอยู่ใกล้เคียง ก่อนคำสั่งเคอร์ฟิวมีผลใช้ โดยโบสถ์เก่าแก่แห่งนี้ ซึ่งเป็นที่รู้จักในกรุงวอชิงตันว่าเป็น “โบสถ์ของประธานาธิบดี” ได้รับความเสียหายจากเหตุไฟไหม้เล็กน้อยบริเวณชั้นใต้ดิน เมื่อเย็นวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
และในระหว่างการพบสื่อหลังเดินทางกลับจากโบสถ์แห่งนี้ ผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่า หน้าที่อันดับหนึ่งและสำคัญที่สุดของประธานาธิบดีก็คือ การปกป้องประเทศและชาวอเมริกัน พร้อมกล่าวว่า ชาวอเมริกันทั้งหลายรู้สึกแย่ต่อการเสียชีวิตอย่างทารุณของ จอร์จ ฟลอยด์ และรัฐบาลชุดปัจจุบันขอยืนยันที่จะนำมาซึ่งความยุติธรรมแก่ครอบครัวของ จอร์จ ฟลอยด์ ซึ่งจะไม่เสียชีวิตโดยสูญเปล่า
และภายหลังการปรากฏตัวของผู้นำสหรัฐฯ บิชอพ มาเรียนน์ บัดด์ ซึ่งเป็นผู้นำคริสตจักรนิกายแองกลิคัน สังฆมลฑลวอชิงตัน (Episcopal Diocese of Washington) ออกมาแสดงความไม่พอใจต่อการกระทำของปธน.ทรัมป์ ผ่านข้อความทางทวิตเตอร์ โดยระบุว่า “คืนนี้ ประธานาธิบดี ใช้คัมภีร์ไบเบิล และโบสถ์ฯ เป็นฉากหลังสำหรับการส่งข้อความที่ตรงกันข้ามกับคำสอนของพระเยซู และทุกสิ่งที่โบสถ์ของเรายึดมั่น ในการกระทำเช่นนั้น ท่าน (ปธน.ทรัมป์) อนุมัติให้เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมอุปกรณ์ปราบจราจลใช้แก๊สน้ำตาเพื่อเคลียร์ลานหน้าโบสถ์”