ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ และนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ลงนามข้อตกลงร่วมกัน หลังการหารือครั้งประวัติศาสตร์ที่สิงคโปร์ ย้ำจุดยืนที่ชัดเจนของเกาหลีเหนือในการยุติโครงการนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์บนคาบสมุทรเกาหลี ขณะที่ผู้นำสหรัฐฯ มุ่งมั่นที่จะมอบหลักประกันด้านความมั่นคงให้แก่เกาหลีเหนือ
การลงนามข้อตกลงที่โรงแรมคาเปลลา บนเกาะเซนโตซา ของสิงคโปร์ เมื่อวันอังคาร ยังระบุให้สหรัฐฯและเกาหลีเหนือ ทำงานร่วมกันในการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนบนคาบสมุทรเกาหลี ด้วยการสร้างความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างกัน และจะสานต่อการเจรจาร่วมกันอีกในอนาคต
ทั้งนี้ ผู้นำสหรัฐฯให้สัมภาษณ์พิเศษกับวีโอเอ หลังการประชุมที่สิงคโปร์ด้วยว่า ข้อตกลงเมื่อวันอังคารนั้นเป็นผลสำเร็จจากการเจรจาร่วมหลายเดือนที่ผ่านมา และจะมีการ "ปลดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ"
ย้ำทั้งสอง "เคมีที่เข้ากัน" ได้ดี
ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่าไม่มีการยื่นคำขาดต่อกันระหว่างการหารือ นอกจากนั้นยังบอกว่าตนและนายคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ มี "เคมีที่เข้ากัน" ได้ดี
โดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่า หากไม่มีการเจรจานี้ "เราอาจอยู่ในภาวะสงคราม ที่อาจจบลงด้วยการเสียชีวิตของคนจำนวนหลายล้านคน โดยที่กรุงโซลนั้นมีประชากร 28 ล้านคน คนเหล่านี้อาจต้องสังเวยชีวิตหากสงครามเกิดขึ้น แต่เราหลีกเลี่ยงมันได้ด้วยข้อตกลงนี้"
สหรัฐฯยังคงกำลังทหารในเกาหลีใต้แต่จะระงับการซ้อมรบเพื่อลดการยั่วยุ
ผู้นำสหรัฐฯ ยังให้สัมภาษณ์กับวีโอเอด้วยว่า สหรัฐฯยังคงมาตรการลงโทษเกาหลีเหนือต่อไป เช่นเดียวกับการคงทหารสหรัฐฯในเกาหลีใต้ จนกว่าเกาหลีเหนือจะปลดอาวุธนิวเคลียร์
ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯต้องการยุติสิ่งที่เรียกว่า “เกมสงครามแห่งการยั่วยุ” ซึ่งมีค่าใช้จ่ายมหาศาลและสร้างความไม่พอใจแก่เกาหลีเหนือ
ผู้นำสหรัฐฯ ได้กล่าวว่า เขาและนายคิม จอง อึนได้หารือถึงประเด็นดังกล่าว และจะติดตามการยุติโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือด้วยการส่งเจ้าหน้าที่จำนวนมากเข้าไปสังเกตการณ์ พร้อมยังแสดงความเชื่อมั่นว่าผู้นำคิมจะทำตามข้อตกลงดังกล่าว
แต่เมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามถึงรายละเอียดของอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ ทรัมป์ได้แต่บอกว่า เกาหลีเหนือนั้นมีอาวุธดังกล่าวอยู่จำนวนมาก
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังตอบคำถามผู้สื่อข่าว ว่าจะตัดสินใจระงับการซ้อมรบร่วมกับเกาหลีใต้ที่ดำเนินมาเป็นเวลาหลายปี โดยให้เหตุผลว่าการซ้อมรบร่วมกับเกาหลีใต้นั้นทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย และเป็นการยั่วยุ รวมทั้งเป็นความไม่เหมาะสมในบรรยากาศระหว่างที่มีเจรจาทำความตกลงกับเกาหลีเหนือ
ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้เกาหลีเหนือได้ใช้เหตุผลในการตำหนิการซ้อมรบร่วมระหว่างสหรัฐฯกับเกาหลีเหนือว่าเป็นการยั่วยุและเป็นการใช้เป็นเวทีเตรียมพร้อมที่จะรุกรานเกาหลีเหนือ
ปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนจะยกมาหารือร่วมกันในครั้งต่อไป
สำหรับเรื่่องสิทธิมนุษยชน ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวว่ามีการพูดถึงเรื่องนี้ แต่เนื้อหาส่วนใหญ่ราว 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นเรื่องการปลดอาวุธนิวเคลียร์ อย่างไรก็ตามเขาเชื่อมั่นว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีเกี่ยวกับประเด็นสิทธิมนุษยชนในเกาหลีเหนือ โดยน่าจะมีการยกขึ้นมาบนโต๊ะเจรจาในโอกาสหน้า
และในการนี้ได้มอบหมายให้ นายไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ติดตามในรายละเอียดต่างๆในการเจรจารอบต่อไป
ยกย่อง ผู้นำ 'คิิม' กล้าหาญ ขอบคุณญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ที่ทำให้การเจรจาเกิดขึ้น
ผู้นำสหรัฐฯมีท่าทีเชิงบวกกับผู้นำคิมในการหารือครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนี้มาก โดยกล่าวขอบคุณความกล้าหาญของผู้นำคิม ในการคว้าโอกาสที่ยิ่งใหญ่สำหรับชาวเกาหลีเหนือ รวมทั้งยังกล่าวขอบคุณจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ในความทุ่มเทเพื่อให้การเจรจาครั้งสำคัญนี้เกิดขึ้น
บรรยากาศในการหารือที่โรงแรมคาเปลลาเป็นไปอย่างชื่นมื่น เริ่มต้นจากการหารือร่วม 40 นาที ที่มีเพียงประธานาธิบดีทรัมป์ นายคิม จอง อึน และล่ามของทั้ง 2 ประเทศเท่านั้น ตามมาด้วยผู้นำสหรัฐฯและเกาหลีเหนือนั่งเคียงข้างกันระหว่างการลงนามข้อตกลง
มิติใหม่ความสัมพันธ์ สหรัฐฯ-เกาหลีเหนือ เชิญ 'คิม' เยือนทำเนียบขาว
ทรัมป์บอกว่าสหรัฐฯและเกาหลีเหนือได้ "สร้างความสัมพันธ์ที่พิเศษให้เกิดขึ้น" และว่า การหารือและการลงนามข้อตกลงที่เกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมานั้นได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือและสหรัฐฯแตกต่างไปจากที่ผ่านมา ที่ทั้ง 2 ชาติตัดสินใจที่จะทิ้งอดีตที่ผ่านมาไว้เบื้องหลัง และโลกจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
พร้อมกันนี้ ทรัมป์ยังกล่าวว่าจะยินดีเชิญนายคิม จอง อึน ไปเยือนทำเนียบขาว และตนเปิดกว้างต่อโอกาสที่จะไปเยือนกรุงเปียงยางด้วยเช่นกัน
หยอดทิ้งท้ายชื่นชม 'คิม จอง อึน' เป็นผู้นำที่ดีต่อเกาหลีเหนือ
ในการให้สัมภาษณ์กับวีโอเอ ผู้นำสหรัฐฯถูกถามว่าจะพูดอะไรต่อชาวเกาหลีเหนือ ทรัมป์บอกว่านายคิมมีเจตนาที่ดีต่อคนในประเทศของเขาและจะเกิดสิ่งดีๆขึ้นจากนี้ต่อไป
ผู้นำสหรัฐฯกล่าวว่า นายคิมรักประชาชนของเขา แต่เมื่อถูกถามเกี่ยวกับสภาพความทุกข์ยากของชาวเกาหลีเหนือ โดยเฉพาะเรื่องการปล่อยให้คนอดอยาก ภายใต้การปกครองของนายคิม โดนัลด์ทรัมป์กล่าวว่า "นายคิมทำในสิ่งต้องทำ ผมขอมองถึงสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ เมื่อวาน และสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะเป็นช่วงที่เริ่มเกิดพัฒนาการใหม่ๆขึ้นเรื่องการเจรจานิวเคลียร์"