Your browser doesn’t support HTML5
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มการเยือนอินเดียรวม 36 ชั่วโมง โดยเดินทางไปถึงเมืองอาห์เมดาบัดของอินเดีย เมื่อวันจันทร์ ท่ามกลางการชุมนุมต้อนรับของชาวอินเดียกว่า 100,000 คน
โดยก่อนหน้าที่จะเดินทางไปถึงนั้น ประธานาธิบดีสหรัฐกล่าวว่า การทำข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐกับอินเดียไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในวาระของการเยือนครั้งนี้ แต่ก็สัญญาว่าทั้งสองประเทศจะเจรจาและจัดทำความตกลงด้านการค้าซึ่งยิ่งใหญ่ที่สุดฉบับหนึ่งขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันจันทร์ ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศว่าสหรัฐจะลงนามในข้อตกลงขายเฮลิคอปเตอร์และยุทโธปกรณ์อื่น ๆ มูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์ให้กองทัพของอินเดีย
ในส่วนของอินเดียเอง นายกรัฐมนตรีนเรนธรา โมดี ก็แสดงความหวังเรื่องโอกาสการทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐเช่นกัน และว่าขณะนี้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองครอบคลุมในหลายด้าน นับตั้งแต่เรื่องการทหาร ภาคพลังงาน รวมทั้งเทคโนโลยีสารสนเทศด้วย และว่าอินเดียซึ่งฟื้นคืนพลังขึ้นใหม่จะช่วยสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับสหรัฐได้
ผู้นำรัฐบาลอินเดียยังกล่าวว่า สหรัฐกับอินเดียเป็นพันธมิตรโดยธรรมชาติ ซึ่งจะสามารถนำสันติภาพ ความมั่นคง และความก้าวหน้า มาสู่ภูมิภาคอินโดแปซิฟิกรวมทั้งต่อโลกได้
เกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณ Aparna Pande ผู้อำนวยการโครงการอนาคตของอินเดียและเอเชียใต้จากสถาบัน Hudson Institute ให้ความเห็นว่า การเยือนอินเดียโดยประธานาธิบดีทรัมป์ครั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย เพราะผู้นำทั้งสองต่างต้องการถูกมองว่าเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง และมีสิ่งที่อยู่ร่วมกันอยู่คือการมีแนวนโยบายแบบประชานิยม-ชาตินิยม ที่ต้องการให้เศรษฐกิจของประเทศขยายตัว และสร้างกองทัพให้แข็งแกร่งด้วย
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ผู้นำสหรัฐยกย่องอินเดียว่าเป็นประเทศประชาธิปไตยที่ประสบความสำเร็จ และทั้งสองประเทศพร้อมจะร่วมมือกันเพื่อปราบปรามการก่อการร้ายนั้นประธานาธิบดีทรัมป์ได้ละเว้นไม่กล่าวถึงกฎหมายให้สัญชาติพลเมืองฉบับใหม่ของอินเดียซึ่งทำให้เกิดการประท้วงในหลายพื้นที่
ผู้ที่ไม่เห็นด้วยชี้ว่า กฎหมายดังกล่าวเลือกปฏิบัติต่อชาวมุสลิมกว่า 200 ล้านคนในประเทศ และเมื่อวันจันทร์ก็มีตำรวจหนึ่งคนเสียชีวิตในการประท้วงอย่างรุนแรงที่กรุงนิวเดลี จากการปะทะกันระหว่างกลุ่มที่สนับสนุนกับกลุ่มที่ต่อต้านกฎหมายให้สัญชาติของรัฐบาลอินเดียดังกล่าว
นอกจากเรื่องกฎหมายการให้สัญชาติซึ่งเป็นที่โต้แย้งในอินเดียแล้ว อีกเรื่องหนึ่งซึ่งผู้นำสหรัฐไม่ได้กล่าวถึงในช่วงวันแรกของการเยือนอินเดีย คือปัญหาแคว้นแคชเมียร์ซึ่งเป็นกรณีพิพาทระหว่างอินเดียกับปากีสถาน
เมื่อปีที่แล้ว ประธานาธิบดีทรัมป์ได้เสนอจะเป็นคนกลางช่วยไกล่เกลียเรื่องนี้ และถึงแม้ปากีสถานจะเปิดรับแนวคิดดังกล่าวก็ตาม แต่อินเดียได้บอกปัดข้อเสนอเรื่องนี้จากผู้นำสหรัฐ
ในช่วงท้ายของการเยือนอินเดียวันแรก ประธานาธิบดีทรัมป์พร้อมทั้งนางเมลาเนีย ทรัมป์ สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐ ได้ไปเยือน "ทัชมาฮาลของจริง" ในอินเดีย
โดยก่อนจะเข้ามาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐนั้น โดนัลด์ ทรัมป์ เคยเป็นเจ้าของสถานคาสิโนชื่อ Trump Taj Mahal ในเมืองแอตแลนติกซิตี้ รัฐนิวเจอร์ซีย์ มาก่อน แต่ก็ต้องขายทิ้งไปเมื่อปลายปี 2559 เนื่องจากประสบปัญหาขาดทุน