รายงานไต่สวนถอดถอนปธน. กล่าวหา “ทรัมป์” ยกเรื่องส่วนตนเหนือผลประโยชน์ชาติ

The 300 page Trump-Ukraine Impeachment Inquiry Report is seen after being released by the U.S. House Intelligence Committee in Washington, U.S., December 3, 2019. REUTERS/Jim Bourg

รายงานการไต่สวนเพื่อถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ซึ่งเปิดเผยเมื่อวันอังคาร กล่าวหาว่า ผู้นำสหรัฐฯ ประพฤติตนไม่เหมาะสม และขัดขวางกระบวนการไต่สวนเพื่อถอดถอนประธานาธิบดี

รายงานภายใต้ชื่อว่า The Trump-Ukraine Impeachment Inquiry Report ที่เปิดเผยเมื่อวันอังคาร อ้างอิงข้อมูลจากการให้การของพยานมาร่วมหลายเดือน ได้กล่าวหาว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้อำนาจในฐานะผู้นำสหรัฐฯ ในการก้าวก่ายกิจการต่างประเทศ เพื่อประโยชน์ต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2020

ในรายงานจากคณะกรรมาธิการด้านหน่วยข่าวกรองยุติธรรมของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ที่มีพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมาก ยังระบุด้วยว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยกประเด็นผลประโยชน์ทางการเมืองและส่วนตนเหนือผลประโยชน์ของประเทศชาติ ซึ่งถือเป็นการทำลายกระบวนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯอันมีเกียรติ และเป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ

แถลงการณ์จากผู้นำการไต่สวนขอถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ ยืนยันว่า หลักฐานต่างๆชี้ชัดว่าประธานาธิบดีทรัมป์ ใช้อำนาจในฐานะผู้นำประเทศกดดันรัฐบาลยูเครนให้เปิดการสืบสวนคู่แข่งทางการเมืองของประธานาธิบดีทรัมป์ นั่นคือ อดีตรองประธานาธิบดี โจ ไบเดน รวมทั้งการสร้างทฤษฎีสมคบคิดขึ้นมาหักล้างว่าฝ่ายที่แทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปี ค.ศ. 2016 คือยูเครนไม่ใช่รัสเซียอย่างที่เข้าใจแต่แรก ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้ล้วนแต่ให้ประโยชน์กับประธานาธิบดีทรัมป์ ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2020 ทั้งสิ้น

ด้านโฆษกหญิงประจำทำเนียบขาว สเตฟานี กริสแฮม ออกมาปฏิเสธข้อสรุปในรายงานฉบับดังกล่าวของคณะกรรมาธิการด้านหน่วยข่าวกรองยุติธรรมของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ และว่าเป็นกระบวนการที่ดำเนินไปแต่ฝ่ายเดียวและไม่มีหลักฐานอะไรออกมา ด้านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน กล่าวว่า ฝั่งเดโมแครตไม่ได้เปิดเผยสาระสำคัญอะไรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการถอดถอนประธานาธิบดีเลย

ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ ปฏิเสธคำเชิญจากคณะกรรมาธิการฝ่ายยุติธรรมของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ที่จะเข้าร่วมในกระบวนการไต่สวนเพื่อถอดถอนประธานาธิบดี ที่จะมีขึ้นในวันที่ 4 ธันวาคมนี้ รวมทั้งไม่ส่งตัวแทนด้านกฏหมายของผู้นำสหรัฐฯเข้าร่วมกระบวนการไต่สวนในโอกาสดังกล่าวด้วย