ทำเนียบขาวยืนยันทราบเรื่อง "ที่ปรึกษาฯความมั่นคง" แอบคุยรัสเซียมาหลายสัปดาห์ก่อนบีบให้ลาออก

From left, President Donald Trump and former National Security Advisor Michael Flynn, who resigned Feb. 13, 2017.

พล.ท.ไมเคิล ฟลินน์ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถูกบีบให้ลาออกจากตำแหน่ง เมื่อค่ำวันจันทร์ (13 ก.พ.) ที่ผ่านมา

โดยทำเนียบขาวให้เหตุผลว่า พล.ท.ฟลินน์ ขาดความไว้เนื้อเชื่อใจจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯไปแล้ว หลังจากที่เขาไม่ได้ให้ข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์แก่รองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ ในเรื่องการติดต่อสนทนากับทูตของรัสเซียประจำกรุงวอชิงตัน

Mike Flynn arrives for a news conference in the East Room of the White House in Washington, Feb. 13, 2017.

นายฌอน สไปเซอร์ โฆษกทำเนียบขาว แถลงแก้ต่างในกรณีอื้อฉาวเรื่องนี้ โดยยอมรับว่า ปธน.ทรัมป์ ได้ทราบเรื่องเกี่ยวกับการที่ พล.ท.ไมเคิล ฟลินน์ ได้ให้ข้อมูลที่ผิดพลาดต่อรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นเวลากว่า 3 สัปดาห์ ก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นการสนทนากับนักการทูตรัสเซียประจำสหรัฐฯ ในเรื่องสำคัญเชิงนโยบายเกี่ยวกับมาตรการลงโทษรัสเซียของสหรัฐอเมริกา

โฆษกทำเนียบขาวยอมรับว่า ทั้งผู้นำสหรัฐฯ และคนใกล้ชิด ได้พิจารณาและประเมินข้อมูลเหล่านี้เป็นประจำทุกวัน ก่อนที่อดีตนายทหารที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ คนนี้ จะถูกบีบให้ลาออกไป

Vice President Mike Pence greets National Security Advisor Michael Flynn before Japanese Prime Minister Shinzo Abe and U.S. President Donald Trump arrive for their joint news conference at the White House in Washington, Feb. 10, 2017.

กรณีดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการที่รอง ปธน.ไมค์ เพนซ์ ได้แถลงแก้ต่างให้กับ ไมเคิล ฟลินน์ ว่าไม่ได้มีการหารือกับทูตของรัสเซียประจำสหรัฐฯ เกี่ยวกับนโยบายลงโทษรัสเซีย ที่รัฐบาลอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา ใช้อยู่แต่อย่างใด

แต่เมื่อมีข่าวรั่วไหลออกจากมาจากเจ้าหน้าที่หน่วยสืบสวนกลาง หรือ FBI และหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ได้รายงานเรื่องนี้ จึงทำให้มีกระแสโจมตีและวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก

โดยมีหลักฐานเป็นบันทึกการสนทนาเกี่ยวกับนโยบายที่ถูกดักฟังโดยเจ้าหน้าที่ FBI ทำให้ พล.ท.ฟลินน์ ต้องออกมายอมรับ และเปลี่ยนท่าทีว่ามีการหารือทางโทรศัพท์กับทูตของรัสเซียจริงทางโทรศัพท์

การสนทนาดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของ ปธน.ทรัมป์ ซึ่งทำให้เข้าข่ายผิดกฎหมายที่ห้ามมิให้เอกชนก้าวก่ายนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลกลาง