พล.ท.ไมเคิล ฟลินน์ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถูกบีบให้ลาออกจากตำแหน่ง เมื่อค่ำวันจันทร์ (13 ก.พ.) ที่ผ่านมา
โดยทำเนียบขาวให้เหตุผลว่า พล.ท.ฟลินน์ ขาดความไว้เนื้อเชื่อใจจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯไปแล้ว หลังจากที่เขาไม่ได้ให้ข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์แก่รองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ ในเรื่องการติดต่อสนทนากับทูตของรัสเซียประจำกรุงวอชิงตัน
นายฌอน สไปเซอร์ โฆษกทำเนียบขาว แถลงแก้ต่างในกรณีอื้อฉาวเรื่องนี้ โดยยอมรับว่า ปธน.ทรัมป์ ได้ทราบเรื่องเกี่ยวกับการที่ พล.ท.ไมเคิล ฟลินน์ ได้ให้ข้อมูลที่ผิดพลาดต่อรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นเวลากว่า 3 สัปดาห์ ก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นการสนทนากับนักการทูตรัสเซียประจำสหรัฐฯ ในเรื่องสำคัญเชิงนโยบายเกี่ยวกับมาตรการลงโทษรัสเซียของสหรัฐอเมริกา
โฆษกทำเนียบขาวยอมรับว่า ทั้งผู้นำสหรัฐฯ และคนใกล้ชิด ได้พิจารณาและประเมินข้อมูลเหล่านี้เป็นประจำทุกวัน ก่อนที่อดีตนายทหารที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ คนนี้ จะถูกบีบให้ลาออกไป
กรณีดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการที่รอง ปธน.ไมค์ เพนซ์ ได้แถลงแก้ต่างให้กับ ไมเคิล ฟลินน์ ว่าไม่ได้มีการหารือกับทูตของรัสเซียประจำสหรัฐฯ เกี่ยวกับนโยบายลงโทษรัสเซีย ที่รัฐบาลอดีตประธานาธิบดี บารัค โอบามา ใช้อยู่แต่อย่างใด
แต่เมื่อมีข่าวรั่วไหลออกจากมาจากเจ้าหน้าที่หน่วยสืบสวนกลาง หรือ FBI และหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ได้รายงานเรื่องนี้ จึงทำให้มีกระแสโจมตีและวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
โดยมีหลักฐานเป็นบันทึกการสนทนาเกี่ยวกับนโยบายที่ถูกดักฟังโดยเจ้าหน้าที่ FBI ทำให้ พล.ท.ฟลินน์ ต้องออกมายอมรับ และเปลี่ยนท่าทีว่ามีการหารือทางโทรศัพท์กับทูตของรัสเซียจริงทางโทรศัพท์
การสนทนาดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของ ปธน.ทรัมป์ ซึ่งทำให้เข้าข่ายผิดกฎหมายที่ห้ามมิให้เอกชนก้าวก่ายนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลกลาง