ตรวจสอบข่าว: สหราชอาณาจักรไม่ได้กุเรื่องภัยคุกคามนิวเคลียร์จากรัสเซีย

Russia Ukraine War Nuclear Fear

เมื่อวันที่ 26 มิถุนายนที่ผ่านมา โฆษกหญิงของกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซีย มาเรีย ซาคาโรวา กล่าวหารัฐบาลสหราชอาณาจักรว่า กำลังใช้เรื่องภัยคุกคามนิวเคลียร์จากรัสเซีย “ที่ไม่มีอยู่จริง” เพื่อเบี่ยงความสนใจของประชาชนจากปัญหาภายในประเทศ

โฆษกหญิงของกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซีย ยังโพสต์ข้อความลงบนแอปพลิเคชัน Telegram ที่ระบุว่า “รัฐบาลอังกฤษไม่เคยเหน็ดเหนื่อยกับการเตรียมตัวเพื่อเผชิญวันโลกแตกด้วยการทำลายล้างของนิวเคลียร์เลย โดยพยายามกุเรื่องที่ไม่มีมูลว่ารัสเซียเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการทำเช่นนั้น”

ทั้งนี้ ฝ่ายตรวจสอบข่าวสาร Polygraph ของสำนักข่าววีโอเอ พบว่า สิ่งที่ ซาคาโรวา กล่าวนั้นไม่เป็นความจริง และสหราชอาณาจักรไม่ได้สร้างข้อมูลเท็จใด ๆ เกี่ยวกับภัยคุกคามนิวเคลียร์จากรัสเซียเลย

นั่นเป็นเพราะ มีการเริ่มข่มขู่สหราชอาณาจาก ที่ตรงมาจากปากของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน และส่งผ่านเจ้าหน้าที่ของทางการรัสเซีย เกี่ยวกับแสนยานุภาพของอาวุธนิวเคลียร์รัสเซียอยู่บ่อยครั้ง

FILE - Dmitry Kiselyov, head of the official Russian state news agency Rossiya Segodnya, gestures during a press conference in Moscow on May 26, 2014.

เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ดมิทรี คิเซลโยฟ พิธีกรรายการ Vesti Nedeli หรือข่าวประจำสัปดาห์ซึ่งเป็นรายการข่าวการเมืองยอดนิยมทางช่อง Rossiya-1 ของรัฐบาลรัสเซียที่มีผู้ชมหลายล้านคนทั้งในและนอกประเทศรัสเซีย กล่าวว่า รัสเซียสามารถทำลายล้างสหราชอาณาจักรได้ทั้งทางน้ำและอากาศ “เพียงแค่กดปุ่มเดียว (นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร) บอริส จอห์นสัน และอังกฤษก็หายไปได้เลย”

ขณะที่พูดถึงการกระทำข้างต้น คิเซลโยฟ แสดงภาพวิดีโอจำลองประกอบให้เห็นถึงการโจมตีสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ด้วยการยิงอาวุธนิวเคลียร์เข้าใส่โดยกองกำลังรัสเซีย พร้อมกล่าวว่าอังกฤษและไอร์แลนด์สามารถ “จมหายไปในทะเล” และกลายเป็น “พื้นที่ร้างที่ปนเปื้อนด้วยกัมมันตรังสี” หากเรือดำน้ำรัสเซียยิงอาวุธนิวเคลียร์

รายการดังกล่าวได้แสดงเนื้อหาดังกล่าวเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังนายกรัฐมนตรี จอห์นสัน เดินทางเยือนกรุงเคียฟของประเทศยูเครนเพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านการรุกรานของรัสเซีย พร้อมยังประกาศที่จะให้ความช่วยเหลือด้านการทหารแก่ยูเครนอีกด้วย

ดมิทรี คิเซลโยฟ ยังเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลที่ได้รับการแต่งตั้งโดยปธน.ปูติน ด้วย โดยเขาดำรงตำแหน่งผู้บริหารของบริษัท MIA Rossiya Segodnya ซึ่งมีรัฐบาลรัสเซียเป็นเจ้าของ และควบคุมสื่อมากมาย ซึ่งรวมถึง เว็บไซต์ 32 แห่งและทีวีหลายช่อง เช่น RT , Sputnik, RIA Novosti, Ukraine.ru, The Arctic, Baltnews และ InoSMI เป็นต้น

นอกจากนั้น นักการเมืองรัสเซียอีกหลายคนได้พูดจาในลักษณะเดียวกันกับ คิเซลโยฟ ตั้งแต่รัสเซียเข้ารุกรานยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

อย่างเช่น เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน อันเดรย์ กูรูลโยฟ อดีตรองผู้บัญชาการกองกำลังรัสเซียในเขตพื้นที่ใต้และนักการเมืองจากสภาผู้แทนราษฎร หรือ State Duma กล่าวถึงแผนการทำสงครามระหว่างรัสเซียกับองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (NATO) ในยุโรปซึ่งจะมีการใช้อาวุธนิวเคลียร์ด้วย โดยเขาพูดว่า “ที่แรกที่จะถูกโจมตีคือกรุงลอนดอน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าภัยคุกคามต่อโลกใบนี้นั้นมาจากพวกกลุ่มแองโกล-แซกซัน”

ต่อมาเมื่อวันที่ 28 เมษายน อเล็กซี ซูราฟลีโยฟ นักการเมืองจาก State Duma และหัวหน้าพรรคชาตินิยม Rodina กล่าวผ่านรายการโทรทัศน์ที่ออกอากาศทั่วประเทศว่า “เพียงแค่ขีปนาวุธข้ามทวีป Sarmat ลูกเดียว ก็จะไม่มีหมู่เกาะอังกฤษ อีกต่อไป” และเขายังให้รายละเอียดเพิ่มเติมด้วยว่า รัสเซียจะใช้เวลากี่วินาที ในการทำลายล้างเมืองหลวงในทวีปยุโรป โดยเริ่มตั้งแต่กรุงลอนดอนที่จะใช้เวลาเพียง 200 วินาทีในการถูกทำลายล้าง

ทั้งนี้ Sarmat เป็นขีปนาวุธข้ามทวีปของรัสเซียที่สามารถบรรจุหัวรบได้หลายหัว และเชื่อว่า เป็นอาวุธ “ที่ถูกสกัดได้ยาก” โดยเว็บไซต์ Military Today ระบุว่า ขีปนาวุธข้ามทวีปหนึ่งลูก “สามารถทำลายล้ายรัฐถึงสามรัฐในสหรัฐฯ ได้แก่ แมริแลนด์ เวอร์มอนต์ และ โรดไอแลนด์”

อเล็กซี ซูราฟลีโยฟ ยังทำการขู่เกี่ยวกับการใช้นิวเคลียร์อีกครั้งระหว่างในสัมภาษณ์กับสื่ออังกฤษ The Mirror ในที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยเขาเสริมว่า สหรัฐฯ และฟินแลนด์ซึ่งเพิ่งประกาศความต้องการในการเข้าร่วมองค์การนาโต้นั้นอยู่ในกลุ่มเป้าหมายการโจมตีของรัสเซียเช่นกัน โดยฟินแลนด์จะถูกทำลายล้างในเวลาเพียงแค่ 10 วินาที และ “เศษผงของอาวุธนิวเคลียร์” จะเป็นสิ่งเดียวที่เหลือเมื่อรัสเซียขีปนาวุธข้ามทวีป Sarmat โจมตีสหรัฐฯ

โดยคำขู่เหล่านี้ล้วนเป็นผลมาจากท่าทีของผู้นำรัสเซียทั้งสิ้น เพราะตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ หรือสามวันหลังจากรัสเซียเข้ารุกรานยูเครน รัสเซียถูกโต้กลับด้วยการประณามจากกลุ่มชาติตะวันตกที่ต่างมาร่วมแสดงจุดยืนร่วมกัน ปูตินจึงประกาศยกระดับกองกำลังอาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซียให้อยู่ในระดับสูงที่พร้อมจะเข้าร่วม “การโจมตีแบบพิเศษ”

การทำเช่นนี้ถูกมองว่าเป็นการยกระดับความตึงเครียด และทำให้ประชาชนเกิดความวิตกกังวลว่า จะเกิดสงครามนิวเคลียร์ทั่วโลก ขณะที่ เยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการองค์การนาโต้เรียกคำสั่งของปูตินว่าเป็น “การใช้คำพูดที่อันตราย” และเป็น “การแสดงพฤติกรรมที่ไร้ซึ่งความรับผิดชอบ”

NATO Summit Biden

ทางด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ พยายามที่ลดระดับความตึงเครียดลง โดยบอกให้ชาวอเมริกันอย่าวิตกกังวลต่อภัยคุกคามโดยนิวเคลียร์ของรัสเซีย ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่จากทำเนียบขาวได้บอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า “สงครามนิวเคลียร์นั้นไม่สามารถมีการเอาชนะกันได้ และไม่ควรนำมาร่วมในการต่อสู้ด้วย”

ผู้นำรัสเซียได้ขู่ถึงเรื่องการใช้อาวุธนิวเคลียร์หลายครั้งนอกเหนือจากวันที่ 27 กุมภาพันธ์ จนทำให้ 65 ประเทศร่วมลงนามสนธิสัญญาห้ามใช้อาวุธนิวเคลียร์ร่วมกันที่กรุงเวียนนาในประเทศออสเตรีย ร่วมกันประณามคำขู่การใช้อาวุธนิวเคลียร์จากรัสเซียเมื่อวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา

การออกแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวยังนำมาซึ่งการก่อตั้งพันธมิตรทั่วโลกแห่งใหม่ที่มีจุดประสงค์ในการ “ต่อต้านภัยคุกคามจากการใช้อาวุธนิวเคลียร์ซึ่งไม่มีผู้ใดยอมรับได้และเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย รวมทั้งจากความเสี่ยงของการเกิดสงครามนิวเคลียร์ด้วย”

  • ที่มา: วีโอเอ Polygraph