เจ้าหน้าที่ไทยพบชาวมุสลิมโรฮิงจะ 73 คนรวมทั้งผู้หญิงและเด็ก แออัดยัดเยียดกันอยู่ในเรือเล็กที่ลอยลำอยู่นอกชายฝั่งบริเวณเกาะภูเก็ตขณะกำลังมุ่งหน้าไปยังมาเลเซีย เจ้าหน้าที่ไทยได้ดักเรือลำนั้นไว้ในวันอังคารหลังจากเรือดังกล่าวลอยคออยู่ในทะเลนานถึง 13 วัน ต่อมาในวันพุธ สื่อมวลชนของไทยรายงานว่าเจ้าหน้าที่ไทยได้ควบคุมตัวชาวโรฮิงจะเหล่านั้นไว้แล้ว และเตรียมส่งพวกเขากลับพม่าผ่านทางชายแดน
ดร.สุนัย ผาสุก นักวิจัยอาวุโสขององค์กรสิทธิมนุษยชน Human Rights Watch กล่าวกับ VOA ว่า ทางการไทยควรระงับแผนส่งชาวโรฮิงจะเหล่านั้นกลับพม่าไว้ก่อน จนกว่าสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติจะตัดสินใจว่าจะให้สิทธิ์คุ้มครองตามกฎหมายแก่ชาวโรฮิงจะเหล่านั้นหรือไม่
ดร.สุนัยระบุว่าครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่ไทยสามารถดักเรือที่มีผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงจะทั้งผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กโดยสารมาด้วย คนเหล่านั้นเดินทางมาเป็นครอบครัวโดยให้เหตุผลว่าหลบหนีการข่มเหงทำร้าย ความรุนแรงและการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ขณะนี้ทางการไทยยังไม่มีนโยบายยอมรับผู้ลี้ภัยมาทางเรือ มีเพียงแต่การจัดหาอาหารและเสบียงที่จำเป็นเพื่อให้พวกเขาเผชิญภัยอันตรายทางทะเลต่อไปจนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง ซึ่งบ่อยครั้งเกิดเป็นโศกนาฎกรรม เช่นเมื่อ 3 และ 4 ปีที่แล้ว เมื่อมีผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงจะหลายร้อยคนสูญหายไปในทะเลหลังจากเจ้าหน้าที่ไทยปฏิเสธไม่ให้พวกเขาขึ้นฝั่ง ซึ่งคาดว่าทั้งหมดเสียชีวิต
ดร.สุนัย ระบุว่ารัฐบาลไทยและประเทศอื่นในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ควรมีนโยบายที่ดีกว่านี้ในการคุ้มครองผู้ที่ลี้ภัยมาทางเรือ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยการปกป้องคุ้มครองผู้ลี้ภัยต่างด้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของชาวมุสลิมโรฮิงจะที่เห็นๆกันอยู่ว่าเป็นการหลบหนีความรุนแรงทางการเมือง ความขัดแย้งในชุมชนและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในรัฐอาระกันหรือยะไข่ ซึ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ
Human Rights Watch เชื่อว่าจะมีชาวโรฮิงจะลี้ภัยมาทางเรือมากขึ้นในช่วงนี้ เพื่อมุ่งหน้าไปยังมาเลเซียที่กลายมาเป็นปลายทางสุดท้ายของชาวโรฮิงจะที่ต้องอพยพลี้ภัยจากบ้านเกิดเมืองนอนเหล่านั้น
ดร.สุนัย ผาสุก นักวิจัยอาวุโสขององค์กรสิทธิมนุษยชน Human Rights Watch กล่าวกับ VOA ว่า ทางการไทยควรระงับแผนส่งชาวโรฮิงจะเหล่านั้นกลับพม่าไว้ก่อน จนกว่าสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติจะตัดสินใจว่าจะให้สิทธิ์คุ้มครองตามกฎหมายแก่ชาวโรฮิงจะเหล่านั้นหรือไม่
ดร.สุนัยระบุว่าครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่ไทยสามารถดักเรือที่มีผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงจะทั้งผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กโดยสารมาด้วย คนเหล่านั้นเดินทางมาเป็นครอบครัวโดยให้เหตุผลว่าหลบหนีการข่มเหงทำร้าย ความรุนแรงและการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ขณะนี้ทางการไทยยังไม่มีนโยบายยอมรับผู้ลี้ภัยมาทางเรือ มีเพียงแต่การจัดหาอาหารและเสบียงที่จำเป็นเพื่อให้พวกเขาเผชิญภัยอันตรายทางทะเลต่อไปจนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง ซึ่งบ่อยครั้งเกิดเป็นโศกนาฎกรรม เช่นเมื่อ 3 และ 4 ปีที่แล้ว เมื่อมีผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงจะหลายร้อยคนสูญหายไปในทะเลหลังจากเจ้าหน้าที่ไทยปฏิเสธไม่ให้พวกเขาขึ้นฝั่ง ซึ่งคาดว่าทั้งหมดเสียชีวิต
ดร.สุนัย ระบุว่ารัฐบาลไทยและประเทศอื่นในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ควรมีนโยบายที่ดีกว่านี้ในการคุ้มครองผู้ที่ลี้ภัยมาทางเรือ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยการปกป้องคุ้มครองผู้ลี้ภัยต่างด้าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของชาวมุสลิมโรฮิงจะที่เห็นๆกันอยู่ว่าเป็นการหลบหนีความรุนแรงทางการเมือง ความขัดแย้งในชุมชนและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในรัฐอาระกันหรือยะไข่ ซึ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ
Human Rights Watch เชื่อว่าจะมีชาวโรฮิงจะลี้ภัยมาทางเรือมากขึ้นในช่วงนี้ เพื่อมุ่งหน้าไปยังมาเลเซียที่กลายมาเป็นปลายทางสุดท้ายของชาวโรฮิงจะที่ต้องอพยพลี้ภัยจากบ้านเกิดเมืองนอนเหล่านั้น